Wednesday, December 22, 2010

ป๊ะป๋า ไอเลิฟยู

กว่าเจ๊เฟี๊ยตจะเล่น skype ก็เนิ่นนานโขอยู่ แต่เล่นช้ายังดีกว่าไม่เล่นนะจ๊ะ ;) วันนี้ได้คุย skype กับเจ๊เฟิี๊ยตเป็นครั้งแรก ดีใจมากๆ เพราะว่าปกติคุยกับม๊า ม๊าก็อยู่ที่คอนโด ไม่ได้เห็นหน้าป๊า หรือว่าอาม่าเลย
ถือว่าวันนี้สาลินีโชคดีประมาณ 4 ชั้น ได้คุยกับเจ๊เฟี๊ยต ป่าป๊า อาม่า แม่โอ ครบเซ็ต :)))

วันนี้พอเห็นหน้าป๊า น้ำตาเจ้ากรรมจะไหลให้ได้ ความจริงแล้วก็ถามข่าวคราวจากม๊ามาโดยตลอด ว่าป๊าเป็นไงบ้าง สบายดีมั๊ย ส่งโปสการ์ดกี่ใบ ๆ ไปให้ ก็ไม่รู้ว่าป๊าจะดีใจรึเปล่า จนวันนี้ได้เห็นหน้าป๊า ถึงได้รู้ว่าไอ่เจ้าเวลาเกือบ 7 เดือน ที่เคยคิดมาโดยตลอดว่าผ่านไปไวอย่างกับโกหก มันไม่ได้ไวอย่างที่คิดเลย มันเนิ่นนานจนคิดว่า โหหหห นี่ไม่ได้เห็นหน้าป๊ามานานแค่ไหนแล้วเนี่ย ป๊าไม่ได้ยินเสียงเรามานานแค่ไหนแล้วนะ เห็นแล้วอยากกจะกลับไปกอด ไปหอมแก้มป๊าซะตอนนั้นให้ได้ ได้แต่บอกป๊าว่าเราสบายดี ไม่ได้หักโหมเลย พักผ่อนเต็มที่ อ้วนจนแก้มจะแตกอยู่แล้ว ฮ่าๆๆ ไม่อยากให้ป๊าเป็นห่วง ให้เราเป็นห่วงป๊าอย่างเดียวก็พอแล้ว คุยไปน้ำตาจะไหลไป จนเจ๊เฟี๊ยตต้องบอกว่าไม่ต้องร้อง ฮ่าๆๆๆ เมื่อก่อนขี้แยยังไง แก่มาก็ยังไม่เปลี่ยนอยู่ดี เห็นอย่างนี้แล้ว อยากรีบๆ จบไวๆ ซะงั้น เฮ้อออออ คิดถึงทุกคนที่เชียงใหม่จริงๆ T^T


ป๊ะป๋า นี่เราเจอหน้ากันครั้งแรกในรอบ 7 เดือนนะ :))


Postcard for my Super Papa


โปสการ์ดสำหรับป๊า ในรอบสามชาติครึ่ง :P

Tuesday, December 21, 2010

อยู่ในกระป๋อง อย่างมีความสุข

"ตกกระป๋อง" เป็นอาการที่แสดงให้เห็นถึงการหมดความสำคัญ หรือมีสิ่งอื่น/คนอื่น ที่มีความสำคัญกว่ามาแทนที่เรา เป็นอาการที่มีความหมายในแง่ลบอย่างชัดเจน และอาจมีอาการน้อยอกน้อยใจปะปนอยู่เล็กน้อยถึงปานกลาง

เมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา สาลินีได้เข้าใจถึงอาการ "ตกกระป๋อง" ด้วยตนเอง T^T มันเริ่มมาจากความพยายามที่จะกลับแผ่นดินเกิด ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยการวางแผนแบบคิดเอาเองว่าจะกลับในช่วงเดือน พ.ค. ของปี 2554 เพราะ เดือน ม.ค. จะ submit เปเปอร์สำหรับ conference หลังจากนั้นจะเตรียมเขียนเปเปอร์เพื่อส่งลง International Journal และจะส่งประมาณช่วง มี.ค. หลังจากนั้น (อีก) ตอนช่วงต้น พ.ค. ที่ ลียง เป็นเจ้าภาพจัด conference เราก็จะต้องอยู่ช่วยงาน และอาจจะต้องมีเปเปอร์สำหรับ Present ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น กลางๆ ถึงปลายๆ พ.ค. น่าจะเป็นเวลาที่กลับบ้านได้ หลังจากการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงแล้ว ก็เอาไอเดียนี้ไปคุยกับอาจารย์ที่ปรึกษา คำตอบที่ได้รับคือ "อืมม ชั้นว่าเธอน่าจะกลับช่วง ก.ค. นะ เพราะว่าเป็นช่วงปิดเทอมของที่นี่ และช่วง พ.ค. ถึง มิ.ย. เราน่าจะทำงานกันได้และน่าจะเขียนเปเปอร์อะไรออกมาได้ซักอันนะ" (-_______________-") จบไป นึกว่าจะได้กลับเร็วหน่อย เอาเป็นว่าเลื่อนไปอีกเดือน สองเดือน แต่ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง เหตุผลของฉันมันฟังไม่ขึ้นจริงๆ

โอเค กลับ ก.ค. ก็ได้ แต่หม่าม๊าออกจะบ่นทุกวัน ว่าแม่คิดถึงลูกโน่นนี่ แม่รักลูก อยากเจอ ฯลฯ โถๆ ถ้าเรากลับช้ากว่าที่เคยบอกไว้ หม่าม๊าคงเสียใจน่าดู (นี่ก็คิดเอาเอง) เลยครีเอทแผน B ขึ้นมาทดแทน อืมมม ฉันกลับไปหาแม่ไม่ได้ งั้นให้แม่มาหาก็น่าจะดี ว่าแล้วก็วางแผนเอง ว่าให้ฟอร์ดพาหม่าม๊ามาเที่ยวฝรั่งเศส ซักช่วง มิ.ย. ฟอร์ดจะอยู่นานกี่มากน้อยก็ได้ แล้วแต่ว่าจะลางานมาได้แค่ไหน แต่ให้หม่าม๊าอยู่กับเราซักเดือนนึง แล้วก็บินกลับบ้านพร้อมกันในช่วง ก.ค. (แหม เป็นแผนที่แสนจะเพอร์เฟกต์ หม่าม๊าต้องดีใจแน่นอน)

วันนี้พอได้คุย Skype กับหม่าม๊า เราก็คุยกันกุ๊กกิ๊กตามประสาแม่ลูก คุยกันถึงเรื่องคุณหลานที่ตอนนี้อยู่ในพุงเจ๊เฟิร์น ฉันก็บอกว่าฉันเห็นรูปเค้าในพุงเจ๊เฟิร์นแล้ว น่ารักมาก ฉันรักเค้าไปแล้ว ม๊าก็บอกว่าคราวนี้เจ๊เฟิร์นคงตกกระป๋องแน่ๆ มีแต่คนรักหลาน ม๊าบอกเจ๊เฟิร์นให้ไปหากระป๋องมาอยู่ เพราะลูกจะแย่งความสำคัญไปหมด ฮ่าๆๆๆ พี่สาวฉันตกกระป๋องไปแล้วเหรอเนี่ย

หลังจากนั้น ฉันก็รีบแจ้งข่าวที่จะได้กลับช้ากว่าเดิมให้ม๊ารู้ทันที
ฉัน: "แม่จ๋า ไอชาบอกว่ากลับ พ.ค. เร็วไป ให้กลับซัก ก.ค. ดีกว่ามันเป็นช่วงปิดเทอมพอดี"
ม๊า: "อ๋อ ไม่เป็นไรลูก กลับช่วงนั้นก็ได้" (เอ๊ะ!! ไหนบอกว่าคิดถึงไง ไหงไม่มีโอดครวญ)
ฉัน: "แต่หนูก็กลัวจะทนความคิดถึงแม่ไม่ได้ หนูเลยว่าให้แม่มาหาหนูที่นี่ตั้งแต่ มิ.ย. แล้วเรากลับพร้อมกันช่วง ก.ค. ดีมั๊ยจ๊ะ ให้ฟอร์ดมากับแม่ แต่ฟอร์ดจะกลับก่อนก็ได้ แล้วเรากลับด้วยกัน ดีมั๊ยจ๊ะ"
เจ๊เฟี๊ยต: "แต่ช่วง ปลาย ๆ มิ.ย. กับช่วง ก.ค. ม๊าจะไปอเมริกานะ จะไปอยู่กับเจ๊เฟิร์น เพราะเฟิร์นน่าจะคลอดช่วงนั้น"
ฉัน: "อ้าวเหรอ แง๊ แล้วอย่างนี้กลับบ้านไปจะได้เจอหม่าม๊ามั๊ยเนี่ย"
ม๊า: "ก็่ช่วงแรกๆ ต้องมีคนไปดูแลทั้งเจ๊เฟิร์น ทั้งลูกเจ๊เฟิร์น นะลูก แม่ก็คงไปอยู่กับเจ๊เฟิร์นพักนึง ไม่เป็นไรหรอกเนาะ"
ฉัน: "โหยยยยย หนูรู้แล้ว ว่าคนที่ตกกระป๋อง ไม่ใช่มีแต่เจ๊เฟิร์นคนเดียว T^T"

นี่ฉันก็ตกกระป๋องไปด้วยเหรอเนี่ย ฮ่าๆๆๆ ไม่คิดไม่ฝันเลยจริงๆ ตอนแรกนึกว่าไอเดียสุดเจ๋ง (คิดเอาเอง) จะทำให้หม่าม๊าดีใจ นับวันรอได้เจอกันนะเนี่ย แต่ไอ้การตกกระป๋องแบบนี้ มันไม่เห็นจะมีความรู้สึกน้อยอกน้อยใจเลยแฮะ สงสัยเป็นเพราะฉันเองก็อยากให้ม๊าได้ไปดูแลเจ๊เฟิร์น ได้ไปเลี้ยงหลานด้วย ฉันยังอยากไปเหมือนกันนะเนี่ย หรือสงสัยเป็นเพราะฉันรักหลานไปแล้ว เลยตามใจเค้าหมดเลย (นี่เค้ายังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำนะ ว่าฉันรักเค้ามากขนาดนี้เนี่ย) เฮ้ออออ ตกกระป๋องก็ตกกระป๋องเหอะ รู้สึกว่าอยู่ในกระป๋องแบบนี้ มันก็มีความสุขดีเหมือนกันนะเนี่ย

^_____________________________________________^

โอยยยยย เมื่อไหร่จะได้เห็นหน้าหลานซักที :))

Tuesday, November 30, 2010

พบเพื่อพราก จากเพื่อเจอ

30 พฤศจิกายน 2553


วันนี้เป็นวันที่ The Lyon Gang จาก CAMT จะเดินทางกลับประเทศไทยค่ะ ความจริงอาจารย์และนักศึกษาจาก CAMT ที่ได้ทุน ELink ให้มาแลกเปลี่ยนที่ฝรั่งเศส 10 เดือน ก็เริ่มทยอยกลับกันตั้งแต่เดือน ก.ค. กันแล้วค่ะ แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกๆ ครั้งที่ผ่านมาเพราะว่าเป็นกลุ่มสุดท้ายที่เดินทางกลับ และกลับกันเยอะที่สุด (อ.บุ๋ม พี่ปรีดิ์ น้องบุ้ง น้องนัท น้องฝ้าย) และที่สำคัญที่สุด แก๊งค์นี้เป็นแก๊งค์ที่คอยช่วยเหลือสาลินี ตั้งแต่วินาทีแรกที่เหยียบ Lyon ถ้าจะให้ถูกน่าจะบอกว่าช่วยเหลือตั้งแต่ก่อนที่จะมาถึงเลยด้วยซ้ำ


ตั้งแต่วินาทีแรกที่มาที่นี่ ฉันยังไม่เคยเหงาแบบจริงๆ จังๆ เลย เพราะตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่มีน้องๆ พี่ๆ อยู่ด้วยกันเสมอ พวกเราคุยกันอยู่เสมอว่าการที่เรามาเจอกันที่นี่ คงเป็นเพราะพวกเราเคยทำบุญทำกรรมร่วมกันมาก่อน เราถึงโคจรมาเจอกันไกลได้ขนาดนี้ บทพิสูจน์ว่าบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต มันมีจริงค่ะ หลังจากที่พวกเราถกกันหลายครั้ง เราก็ได้บทสรุป(กันเอง) ว่าในอดีตที่พวกเราไม่สามารถคาดเดาได้ พวกเราน่าจะทำกรรมดีต่อกันมากกว่ากรรมชั่ว เพราะพวกเรารู้สึกดีๆ และได้ช่วยเหลือกันตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ค่ะ :)))


ฉันไม่เคยคิดว่าระยะเวลา 6 เดือนจะทำให้ฉันรู้สึกผูกพันกับแก๊งค์นี้ได้มากขนาดนี้ อาจจะเหมือนกับที่หมาจิ้งจอกบอกกับเจ้าชายน้อยล่ะมั๊ง ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราได้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นแล้ว เราต้องรับผิดชอบต่อความสัมพันธ์นั้น ความจริงฉันก็รู้ว่ายังไงๆ เราก็ต้องกลับไปเจอกันที่ไทยอยู่ดี แต่ช่วงเวลาที่ร่ำลากัน ฉันก็อดเศร้าใจไม่ได้จริงๆ น้ำตาจะไหลให้ได้ T^T


โชคดีที่น้องบุ้ง น้องนัท ทิ้งสมบัติเมือง Lyon ไว้ให้ที่ห้องซะมากมาย ประหนึ่งมีระเบิดมาลงที่ห้องยังไงอย่างนั้น พอกลับมาที่ห้องฉันเลยยังไม่มีเวลามานั่งเหงา เพราะต้องจัดข้าวจัดของ กว่าจะเสร็จใช้เวลาไปกว่า 5 ชั่วโมง (-______________-")


ข่าวร้ายสำหรับการร่ำลาของพวกเราก็คือ Flight ของแก๊งค์นี้ดีเลย์ เพราะหิมะตกหนัก ทุกคนต้องบินกลับไทยวันพรุ่งนี้แทน คืนนี้แต่ละคนก็ต้องนอนโรงแรมกันไปก่อน ยังไงก็ตามจากกันครั้งนี้ เดี๋ยวเราก็ต้องได้เจอกันอยู่ดี คิดได้ดังนี้ ก็ไม่รู้ว่าจะเศร้าไปทำไม (แต่คงเหงาชัวร์ ๆ ) ชีวิตเราก็เป็นแบบนี้เสมอนี่นา เราเจอกัน เราจากกัน แต่เดี๋ยวเราก็มาเจอกันอีก แต่ไม่รู้ทำไม สาลินีก็ยังไม่ชินกับจังหวะที่กำลังจะจากกันทุกที แว้บนึงอดคิดไม่ได้ว่า ฉันคงทำบุญมาดีเลยได้เจอแต่คนดีๆ ในชีวิตเต็มไปหมด :)



Monday, November 8, 2010

Proud of you :)

วันนี้ตกหลุมรักเพลงนี้ "Proud of You"

http://www.youtube.com/watch?v=-h1a10qWUos

Love in your eyes
Sitting silent by my side
Going on Holding hand
Walking through the nights
Hold me up Hold me tight
Lift me up to touch the sky
Teaching me to love with heart
Helping me open my mind

I can fly
I'm proud that I can fly
To give the best of mine
Till the end of the time
Believe me I can fly
I'm proud that I can fly
To give the best of mine
The heaven in the sky

Stars in the sky
Wishing once upon a time
Give me love Make me smile
Till the end of life
Hold me up Hold me tight
Lift me up to touch the sky
Teaching me to love with heart
Helping me open my mind

I can fly
I'm proud that I can fly
To give the best of mine
Till the end of the time
Believe me I can fly
I'm proud that I can fly
To give the best of mine
The heaven in the sky

Can't you believe that you light up my way
No matter how that ease my path
I'll never lose my faith
See me fly
I'm proud to fly up high
Show you the best of mine
Till the end of the time

Believe me I can fly
I'm singing in the sky
Show you the best of mine
The heaven in the sky
Nothing can stop me
Spread my wings so wide


ฟังเพลงนี้แล้วคิดถึงป๊า ม๊า เจ๊เฟี๊ยต เจ๊เฟิร์น น้องฟอร์ด ~ตามประสาคนโสด เราก็คิดถึงแต่ครอบครัวเราเนาะ~


^__________________________________________^


แต่คิดไปคิดมา ยังมีคนที่เราฟังเพลงนี้แล้วนึกถึงอีกตั้งแยะ เพื่อนทั้งหลายทั้งปวง รุ่นพี่ รุ่นน้อง ผู้ใหญ่ที่เคารพ ลูกศิษย์ ฯลฯ
นี่ฉันมีคนให้คิดถึงมากมายขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย ดีจัง :))

Sunday, November 7, 2010

เยอรมัน กว่าฉันจะไปถึง (-__________-")

ฉันมีแผนจะเดินทางไปเยอรมันค่ะ เรื่องมันมีอยู่ว่าพี่ชายที่แสนดี 2 คน จะเดินทางมาดูงานที่เยอรมันในช่วงวันที่ 23 - 31 ต.ค. เค้าเคยเกริ่นให้รู้ล่วงหน้ามาประมาณชาติครึ่งแล้วค่ะ เค้าชวนให้ไปหาเพราะว่าเยอรมันกับฝรั่งเศสก็ไม่ไกลกันมาก (ณ เวลานั้น ฉันก็คิดว่ามันคงไม่ไกลกันมากจริงๆ) เค้าจะไปดูงานกันที่เมือง Magdeburg ค่ะ (เป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับเมือง Berlin) พอเช็คเวลา ราคา ตั๋วรถไฟแล้ว พบว่าใช้เวลาเดินทางประมาณ 14 ชั่วโมง โดยรถไฟ ค่าใช้จ่ายไปกลับ ประมาณ 390 ยูโร (โอเค สาลินียอมแพ้) ก็บอกพี่เค้าว่าไม่อยากไปวันธรรมดา เพราะมันไม่ดีเหมือนเราไม่ได้เข้า Lab แต่ถ้าไปแค่เสาร์ อาทิตย์ มันก็ไม่คุ้มเพราะอยู่แป๊บเดียว บลา บลา บลา

แต่ชะตาชีวิตก็พลิกผัน วันศุกร์ที่ 22 พี่ชายทั้งสองบอกว่ามารอบนี้ Advisor ของฉันที่มช. ฝากให้พี่ๆ เค้ามาติดตามความคืบหน้างานวิจัยของฉันว่าถึงไหนประการใด ดังนั้นฉันควรจะไปหาพี่เค้าและเอางานวิจัยไปคุยด้วย นี่ต้องไปแล้วใช่มั๊ย  (ฉันเรียน ป.เอก ภายใต้ความร่วมมือที่เรียกกันว่า Cotoutelle Program นั่นคือ เรียนเอก 2 ที่ คือ ที่มช. และ Lyon ฉันจึงมีทั้ง Advisor และ co-advisor จากทั้งสองมหาวิทยาลัย รู้สึกว่าเป็นงานวิจัยที่อุ่นหนาฝาคั่งมากๆ ค่ะ) รอบนี้สาลินีเลยแจ้งให้ Advisor (Prof.Bouras) และ co-advisor (Dr.Aicha) ทราบ และขออนุญาตว่าจะไปเยอรมัน เพื่อไปพบพี่ๆ ทั้งสอง (ซึ่งหนึ่งในนั้นก็เป็น co-advisor ของฉันเอง) ได้หรือไม่ Prof.Bouras และ Dr.Aicha ใจดีมากค่ะ ไฟเขียวให้ไปได้ แถมยังนัดประชุมเพื่อเตรียมความคืบหน้าของงานวิจัยไปคุยให้พี่ๆ ฟัง (บร๊ะเจ้า!! นี่ฉันเอางานมาสุมให้ตัวเอง) ภารกิจต่อไป คือ จะไปเมื่อไหร่ และไปอย่างไร

ฉันเริ่มวางแผน A ตั้งใจจะออกเดินทางวันพฤหัสที่ 28 ต.ค. และจะถึง Magdeburg ในตอนค่ำๆ คุยงานกันและดูงานในวันศุกร์ วันเสาร์ อาทิตย์ ก็อยู่กับพี่ๆ เค้าจนกว่าเค้าจะกลับไทย ฉันเริ่มแจ้งกำหนดการให้อาจารย์ที่ Lyon และพี่ชายทั้งสองได้ทราบ พอวันจันทร์อาจารย์ที่ Lyon ก็บอกให้ฉันติดต่อ จนท. ที่จะช่วยจัดการเรื่องตั๋วให้ วันอังคารที่ 26 จนท. ติดต่อกลับมาว่าเดินทางวันพฤหัส อาจจะไม่ได้ รถไฟอาจจะไม่วิ่ง เพราะวันที่ 28 ที่ฝรั่งเศสจะมีการ "ประท้วงแห่งชาติ" (Nationale Greve) ประเด็นเรื่องการขยายอายุในการเกษียณงาน ซึ่งต่อเนื่องมาจากอาทิตย์ที่แล้ว (และเป็นประท้วงที่รุนแรงที่สุดในรอบหลายปี) คราวนี้ ฉอหอ ค่ะ ฉันต้องรีบเปลี่ยนเป็นแผน B คือ ออกเดินทางเช้าวันพุธแทน

น้องบุ้งแสนจะน่ารัก ช่วยหาข้อมูลทั้งตั๋วรถไฟ ตั๋วเครื่องบิน และช่องทางในการเดินทางไปให้ แผน B ของฉันเลยกลายเป็น
Lyon-Geneva โดย รถไฟ ถึง Geneva ตอนเที่ยงๆ
Geveva-Berlin โดยเครื่องบิน (easy jet) ถึงเบอร์ลิน 17.30
Berlin-Magdeburg โดยรถไฟ ถึง Magdeburg 20.00

โอเค ปัญหาต่อไปคือ ต้องแจ้งให้ Prof.Bouras ทราบว่าเราจะจองตั๋วเอง ซึ่งกว่าจะได้เจอเค้า ก็ต้องวันพุธตอนเช้า บอกเสร็จปุ๊บจองตั๋วปั๊บ และก็พุ่งไปสถานีรถไฟ เพื่อเดินทางไป Geneva รถไฟจะออกตอน 10.42 เราซื้อตั๋วก่อนหน้านั้นประมาณ 20 นาที (หวุดหวิดมาก) พอซื้อเสร็จก็พุ่งตัวไปหาว่าต้องขึ้นที่ Platform ไหน หาไม่เจอ (-________-") แล้วเค้าก็บอกว่า อ่อ เที่ยวนี้มัน Cancel เฮ้ยยยย แล้วปล่อยให้ฉันซื้อตั๋วทำไมฟระ!! งั้นขอคืนตั๋วละกัน เอิ่มมมม.. คืนไม่ได้ ต้องทำใจ โห เนี่ยเหตุผลฟังขึ้นมากกกก

ความวินาศสันตะโรก็เริ่มขึ้นในบัดดล ฉันจะไปเจนีวายังไงได้ล่ะเนี่ย บุ้งบอกว่าต้องขับรถไปแล้วล่ะ เพราะตั๋วเครื่องบินก็ซื้อไปแล้ว 206 ยูโร ฉันไม่ทิ้งเด็ดขาด โทรไปยืมรถคนรู้จักเค้าก็ไม่สะดวก ซึ่งเราก็รู้ว่าแหง๋ๆ อยู่แล้ว บอกเค้าว่าขอยืมรถตอนนี้จะขับไปเจนีวา ก็คงได้อยู่หรอกนะ

ถึงตอนนี้ต้องใช้เงินแก้ปัญหากันแล้วค่ะ บุ้งโทรบอกน้ทให้เอาใบขับขี่กับพาสปอร์ตของบุ้งมาให้หน่อย ลงท้ายด้วยการเช่ารถ และขับไปกันสามคน นัทเป็นบุคคลที่เซอร์ไพรส์ที่สุด นึกว่าตัวเองแค่เอาเอกสารมาให้ พอมาถึงก็ได้ยินฉันกับบุ้งบอกว่า "ป่ะ นัทขับรถไปเจนีวากัน" ตกกระไดพลอยโจรไปแล้ว นัทก็ได้รับประสบการณ์การขับรถยุโรปครั้งแรกแบบ Rush Hour ตอนแรกๆ ก็ขับกันแบบชิลๆ เพราะเราเช่า GPS มาด้วย ชมวิวข้างทาง สวยงาม ละลานตา (ทำตัวเหมือนลูกคุณหนูมาเรียนนอก ใช้เงินกันเป็นน้ำ)  ความวินาศระลอกสองก็เกิดขึ้น ตอนที่ GPS บอกให้เราไปถนนเส้น A40 ซึ่งตอนนี้มันปิดซ่อม!! บร๊ะเจ้า ข้อมูลพวกนี้มันไม่ได้ถูกยิงขึ้นดาวเทียมใช่มั๊ย บรรยากาศในรถเริ่มมาคุ อีกครั้ง คราวนี้ก็งมหาทางกันไปเรื่อยๆ โอยยย เครียดดดด ไปก็จะไม่ทันอยู่แล้ว ตอนหลังเครียดกันจนเลิกเครียด และกลับมาเครียดอีกแบบนี้เป็นชั่วโมงๆ ได้แต่ภาวนาให้เครื่องมันดีเลย์

มาถึงสนามบินที่เจนีวาตอน 15.40 (เครื่องออก 15.55) ในตั๋วบอกว่าเกทปิดตอน 15.25 ไม่รู้ว่าทันรึเปล่า แต่จอดรถปุ๊บก็วิ่งกันปั๊บ โอยยย ลุ้นโคตรๆ ปรากฎว่าเกทยังไม่ปิด ดูแล้วดูอีกว่ามัน Last call รึยัง มันก็ยังไม่ขึ้นอันใด โอยยยย โล่งอก นี่มาทันแบบเฉียดฉิวมากๆ ขึ้นเครื่องไปได้ (แถมไม่ดีเลย์) ก็สลบเหมือดในบัดดล

มาถึงเบอร์ลิน จะนั่งรถไฟไป Magdeburg กว่าจะหาทางไปสถานีรถไฟ กว่าจะซื้อตั๋วโน่นนี่ สาลินียิ่งเป็นคนโง่เรื่องทางเป็นอันดับหนึ่งในทุกๆ ที่ ก็เล่นใช้เวลามากกว่าคนธรรมดาประมาณสามเท่า แต่ก็พาตัวเองไปถึง Magdeburg ได้อย่างปลอดภัย ในเวลา 22.00 น.

วันนั้นวันเดียว ฉันนึกว่ามันมี 48 ชั่วโมง (-_____________-")

กว่าจะไปถึง หัวใจจะวายตาย งานนี้ต้องขอบคุณน้องบุ้ง น้องนัท ที่ร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน แถมยังพาฉันไปถึงเยอรมันได้อย่างปลอดภัย ^_________________________^

ในที่สุดก็มาถึงค่ะ :)

Sunday, August 22, 2010

Le Petit Prince

Le Petit Prince (เจ้าชายน้อย) หนังสือที่ฉันอ่านซ้ำไปซ้ำมา จนขี้เกียจนับแล้วว่าอ่านไปทั้งหมดกี่รอบ 



The little prince :)
วรรณกรรมที่โด่งดังไปทั่วโลก ผลงานของ Antoine de Saint-Exupéry (อองตวน เดอ แซง-แตกซูเปรี)


อ่านออนไลน์
Thai : http://olddreamz.com/bookshelf/prince/littleprince.html
English : http://www.angelfire.com/hi/littleprince/frames.html
French: http://b612.cc/le_petit_prince/






ครั้งแรกที่ฉันเห็นเจ้าชายน้อย คือ ตอนอายุ 15 เห็นเป็นนาฬิกาข้อมือ ขายอยู่ที่ร้านหนังสือสุริวงศ์บุ๊คเซ็นเตอร์ ฉันเดินเข้าไปดูแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร
5 ปีต่อมา ฉันซื้อหนังสือเรื่อง เจ้าชายน้อย มาอ่าน ในช่วงที่ไปฝึกงานที่ชลบุรี อ่านจบภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว พออ่านจบแล้ว ฉันไม่ได้ชอบมันเท่าไหร่ ไม่ค่อยเข้าใจ ไม่ชอบยัยดอกกุหลาบนั่น เรื่องมาก เข้าใจยาก แล้วทำไมเจ้าชายน้อยต้องมานั่งเสียใจซะมากมาย แต่ตอนนั้นก็ประทับใจรูปที่ 1 กับรูปที่ 2 ของคุณนักบิน ที่เหลือ ไม่ได้ประทับใจมากมายนัก
ระหว่างนั้นช่วงที่เรียน ปริญญาตรี และปริญญาโท ฉันไม่ได้หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาอ่านอีกเลย


ฉันหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านอีกครั้ง หลังจากดูหนังเรื่อง เพื่อนสนิท (หลังจากการอ่านครั้งแรกประมาณ 3 หรือ 4 ปี) และในหนังมีการพูดถึงหนังสือเรื่องเจ้าชายน้อย ฉากที่เจ้าชายน้อยมาเจอกับหมาจิ้งจอก (ตอนที่ดูหนัง ฉันคิดในใจว่า "มีหมาจิ้งจอกด้วยเหรอ?")


อ่านรอบนี้ ฉันประทับใจหลายอย่างในหนังสือ อาจเป็นเพราะฉันโตขึ้น ฉันเลยเข้าใจทั้งความรู้สึกของผู้ใหญ่ และกลับไปนึกถึงความรู้สึกของเด็กๆ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจ ยัยกุหลาบนั่น อยู่ดี แต่อ่านรอบนี้ ฉันรักหมาจิ้งจอก :) ฉันรักความหมายของการทำให้เชื่อง (tame)


"To me, you are still nothing more than a little boy who is just like a hundred thousand other little boys. And I have no need of you. And you, on your part, have no need of me. To you, I am nothing more than a fox like a hundred thousand other foxes. But if you tame me, then we shall need each other. To me, you will be unique in all the world. To you, I shall be unique in all the world . . ."
"I am beginning to understand," said the little prince.




"สำหรับฉันเธอเป็นเพียงเด็กผู้ชายเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งเหมือน ๆ กับเด็กชายคนอื่น ๆ อีกหมื่นคน ฉันไม่ต้องการเธอ และเธอก็ไม่ต้องการฉันเช่นเดียวกัน ฉันก็เป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งเหมือนสุนัขจิ้งจอกอื่น ๆ หมื่นตัว แต่ทว่าถ้าเมื่อใดเธอทำให้ฉันเชื่อง เมื่อนั้นเราก็ต่างต้องการซึ่งกันและกัน เธอก็จะเป็นเด็กคนเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันก็จะเป็นสุนัขสิ้งจอกตัวเดียวในโลกสำหรับเธอด้วย…"
"ฉันเริ่มจะเข้าใจละ" เจ้าชายน้อยกล่าว

หลังจากนั้น ฉันรักหนังสือเล่มนี้ และเริ่มรักเจ้าชายน้อย :) ตอนแรกก็รักเค้านิดหน่อย และหลังๆ เริ่มรักมากขึ้น มากขึ้นทุกที
(นักวิเคราะห์หลายท่าน บอกว่า ยัยดอกกุหลาบนั่น เป็นการเปรียบเทียบเชิงสัญลักษณ์ ว่าเป็นคนรักของเจ้าชายน้อย ฉันไม่เคยนึกถึงประเด็นนี้ พอรู้แบบนี้ฉันก็เออออตาม)

พอมาเรียนที่ Lyon ฉันเพิ่งมารู้ว่า เป็นบ้านเกิดของคนแต่งหนังสือเล่มนี้ (Antoine de Saint-Exupéry) และที่ซื่อบื้อกว่า ฉันไม่เคยรู้เลยว่าสนามบินที่ลียง (Aéroports de Lyon) ชื่อ Saint-Exupéry ฉันมารู้ก็ตอนที่สงสัยว่าทำไมที่นี่ โปรโมทหนังสือเจ้าชายน้อย ซะเว่อร์เชียว ได้รับคำเฉลยจากน้องบุ้ง "พี่ฟางไม่รู้เหรอคะ ก็คนแต่งเรื่องนี้เค้าเกิดที่ลียงล่ะค่ะ" 555+ ไม่เคยรู้เลยค่ะ

สุดท้าย ฉันก็พบเจ้าชายน้อยตัวเป็นๆ ที่เมืองนี้ค่ะ

I've found them!!
The little prince and his buddy. :)
(Maybe his buddy is Antoine)
พอได้มาดูเวอร์ชั่นที่ทำเป็นหนัง (เจ้าชายน้อยเวอร์ชั่นนี้ น่ารักดีจริง ๆ) ฉันชอบเพลง "Why is the desert" 

อยู่ในช่วงนาทีที่ 6:20 ของลิ้งค์นี้ http://www.youtube.com/watch?v=asUdg3MAcok&feature=related
(ช่วงแรกๆ เป็นเพลง I never met a rose)
และก็ต่อด้วยลิ้งค์นี้ http://www.youtube.com/watch?v=9NPFMjA5F4E&feature=related











"on ne voit bien qu' avec le coeur. L'essentiel est invisible pour les yeux."


ประโยคด้านล่าง คือ ความลับที่หมาจิ้งจอกบอกกับเจ้าชายน้อยค่ะ :)



"Goodbye," said the fox. "And now here is my secret, a very simple secret: It is only with the heart that one can see clearly; what is essential is invisible to the eye."





ต่อนยอน ~

ต่อนยอน ต๊ะ ต่อนย้อน .... (เพลงฟ้อนของภาคเหนือ ซึ่งฉันก็จำไม่ได้ว่ามันคือเพลงอะไร)


"ต่อนยอน" เป็นคำแสลง (ของฉันเอง) ที่หมายถึง อาการเอื่อยเฉื่อย ค่อยๆ ทำ ทำแบบใจเย็นเย้น ใจเย็นๆ
ที่มาของคำนี้ ฉันคิดว่ามาจากพื้นเพนิสัยของชาวเหนือที่เป็นคนใจเย็น ไม่ทำอะไรด้วยความรีบร้อน ฟ้อนแบบชาวเหนือก็จะเป็นฟ้อนกับเพลงจังหวะช้าช้า เคลื่อนไหวช้าช้า (-____________-") เสมอ


ตั้งแต่มาเรียนประเทศชาติฝรั่งเศส ฉันก็เห็นอาการ "ต่อนยอน" หลายต่อหลายครั้ง ทั้งจากตัวฉันเอง และการทำงานของคนประเทศชาติบ้านเมืองนี้ สาเหตุของการต่อนยอนอาจจะมาจากพื้นเพนิสัยของผู้คน และระบบการทำงานที่ถูกออกแบบมาอย่างนั้น


  • ทำสัญญาที่พัก จำเป็นต้องใช้เลขบัญชีธนาคาร ในขณะที่จะเปิดบัญชีธนาคาร ต้องมีสัญญาที่พัก (บร๊ะเจ้า!! แล้วฉันจะทำอะไรก่อนดี เฮ้อออ) สุดท้าย ฉันจองที่พักไว้ก่อน เพื่อเอาเอกสารไปเปิดบัญชี จากนั้นเปิดบัญชี อธิบายเค้าว่าเดี๋ยวจะได้ทำสัญญาที่พัก เอาเอกสารที่จองไปก่อน พอได้เลขบัญชี เอาไปทำสัญญาที่พัก แล้วเอาสัญญา ไปให้ธนาคาร วนไปวนมา
  • เปิดบัญชีธนาคาร ที่ LCL  ฉันใช้เวลา 3 ชั่วโมง ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะว่าการสื่อสารของเราเป็นไปด้วยความยากลำบาก ฉันพูดฝรั่งเศสได้แค่ทักทาย พนง.ธนาคาร พูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง กว่าจะกรอกเอกสาร ซึ่งมีเอกสารเยอะมาก ทุกอย่างต้องเซ็น 3 ชุด พนักงานต้องกรอกข้อมูลของเราลงไปในระบบคอมพิวเตอร์ เยอะมาก เราก็นั่งรอเค้ากรอกไป เสร็จปุ๊บ ต้องรอให้บัญชีของเรา Activate ใช้เวลาประมาณ 7 วัน จะมีจดหมายมาที่บ้านว่าบัญชีเรา Activate แล้วนะ แล้วก็รอ หลังจากนั้นอีกประมาณ 7 วัน เราถึงจะได้เครดิตการ์ด ซึ่งใช้ในการซื้อของ และการฝาก/ถอน เงินตามตู้ (ในกรณีของฉัน ผ่านมาป่านนี้ยังไม่ได้การ์ด เพราะตอนแรกฝากเป็นดราฟท์ไป ผ่านไปสามเดือน เงินยังอยู่ในกระดาษเหมือนเดิม เฮ้อออ)
  • ติดต่อการไฟฟ้า เพื่อจ่ายค่าไฟ ที่ EDF ใช้เวลาเกือบ 1 ชั่วโมง เพื่อรอเค้ากรอกข้อมูลลงไปในระบบคอมพิวเตอร์
  • ดราฟท์เจ้าปัญหา ตอนเแรกเอาไปขึ้นที่ธนาคาร LCL ผ่านไป 2 อาทิตย์ เค้าบอกว่าเอาเงินออกมาไม่ได้ เพราะเงินในบัญชีที่ไทยมีไม่พอ (ถ้าพอก็แปลกแล้ว ฉันซื้อเป็นดราฟท์ มันตัดเงินไปแล้วย่ะ) นั่งอธิบายว่ามันเป็นดราฟท์ ไม่ใช่เช็ค ใช้เวลา 2 ชั่วโมง โอเค พนักงานเข้าใจ บอกว่าเราต้องเอาดราฟท์คืนมา ใช้เวลาประมาณ 7 วัน แล้วหลังจากนั้นจะเริ่มดำเนินการใหม่
    (-____________-") เออ เอาเข้าไป ตามใจ ผ่านไป 4 อาทิตย์ ธนาคารโทรมา บอกว่าถ้าเป็นดราฟท์ ต้องไปขึ้นเงินที่ ไปรษณีย์ (La Poste) (ที่นี่ไปรษณีย์เค้าให้บริการด้านการเงิน เหมือนธนาคารด้วย) โอเค ไปไปรษณีย์ เค้าบอกว่าจะขึ้นเงินได้ ต้องมีบัญชีที่นี่ โอเค งั้นขอเปิดบัญชี เค้าบอกว่าเปิดวันนี้ยังไม่ได้ นัดมาเปิดบัญชี อีก 2 อาทิตย์ (โอว์ คนที่นี่มันคิวทองใช่มั๊ย)
  • ไปเปิดบัญชีที่ La Poste จนท. เก่งภาษาอังกฤษ ค่อยยังชั่ว ใช้เวลาเปิดบัญชี 2 ชั่วโมงครึ่ง (บร๊ะเจ้า!!) และเหมือนเดิม ดราฟท์ยังไม่ฝาก รอให้บัญชี activate ก่อน โอเค หลังจากนั้นก็มีจดหมายมาว่าบัญชี activate แล้ว (หลังจากวันเปิดประมาณอาทิตย์กว่าๆ) แล้วก็มีจดหมายส่งบัตรมาให้ และส่งรหัสมาให้ และส่งรหัสดูออนไลน์มาให้ (แต่ละฉบับห่างกันประมาณ 5 - 7 วัน) ทันทีที่บัญชี activate แล้วฉันเอาดราฟท์ไปเข้า เค้าบอกว่า น่าจะรอเป็นเดือน จะรอไหม (ฉันรอมาสามเดือนแล้ว รออีกเดือน จะเป็นไรไป)
มีความต่อนยอนมากมายสารพัด ที่ฉันเจอที่นี่ (-____________-") มีแต่คนค่อย ๆ ฟ้อน เอาเถอะ อีกหน่อยฉันคงชิน อดคิดไม่ได้ว่า ตกลงฉันมาอยู่ประเทศพัฒนาแล้ว จริงหรือ

    Monday, June 14, 2010

    เจ้าชายน้อย




    นี่มันเมืองของเจ้าชายน้อยชัดๆ :)

    คิดงานไม่ออก ปวดหัว เง้ออออ

    อยากคิดงานให้ออกไวๆ จะได้นอนอ่านหนังสือสบายใจเฉิบ

    Saturday, May 22, 2010

    Count down


    @Univesity Lumiere de Lyon2, Lyon, France

    นับถอยหลัง เหลือเวลาอีก 7 วัน ก็จะบ๊ายบายเชียงใหม่ ไปปฏิบัติภารกิจ
    รีบเรียน รีบจบ รีบกลับมาทำงาน (^___________^)

    สู้เต็มที่!! ห่างหายจากการเป็นนักเรียนไปนาน ตื่นเต้นนิดนึง 555+


    สู้ตาย :)


    Monday, May 17, 2010

    ฮีโร่ของฉัน


    จากงานประกาศผลรางวัลนาฏราช ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 16 พฤษภาคม 2553 ฉันเชื่อมั่นว่าผู้ชายคนนี้ได้ใจคนไทยไปหลายล้านดวงค่ะ

    พี่อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง กับ Speech ที่เรียกความซาบซึ้งใจ ความปิติ และความภูมิใจที่ได้เกิดมาบนแผ่นดินของพ่อ ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ ที่สำคัญภูมิใจที่ได้รักพ่อค่ะ .... รักในหลวงค่ะ ...



    คำต่อคำ ของ พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง (credit คุณ Wamin Prakobsuk จาก FB กลุ่มเชียงใหม่รักในหลวง ค่ะ)

    พ่อ..เป็นเสาหลักของบ้าน...

    บ้านของผมหลังใหญ่ครับ..ใหญ่มาก...เราอยู่กันหลายคน

    ผมเกิดมาบ้านนี้ก็สวยงามมากแล้ว..สวยงาม..และอบอุ่น

    แต่กว่าจะเป็นแบบนี้ได้..บรรพบุรุษของพ่อ..

    เสียเหงื่อ..เสียเลือด..เอาชีวิตเข้าแลก...กว่าจะได้บ้านหลังนี้ขี้นมา

    จนมาถึงวันนี้..พ่อคนนี้..ก็ยังเหนื่อยที่จะดูแลบ้าน..

    และก็ดูแลความสุขของทุกคนในบ้าน..

    ถ้ามีใครซักคน..โกรธใครมาก็ไม่รุ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมา..ก็ไม่รู้

    และก็พาลมาลงที่พ่อ...เกลียดพ่อ..ด่าพ่อ..คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน

    ...ผมจะเดินไปบอกกับคนๆนั้นว่า...

    ถ้าเกลียดพ่อ...ไม่รักพ่อแล้ว....จงออกไปจากที่นี่ซะ

    เพราะที่นี่...คือบ้านของพ่อ

    เพราะที่นี่...คือแผ่นดินของพ่อ

    ผมรักในหลวงครับ....

    และ..ผมเชื่อว่า..ทุกคนที่อยู่ในที่นี้..

    รักในหลวงเหมือนกัน...

    พวกเราสีเดียวกันครับ.......

    ศีรษะนี้...มอบให้พระเจ้าแผ่นดิน..


    เกินคำบรรยายค่ะ วันนี้พี่อ๊อฟเป็นฮีโร่ของฉัน

    Monday, April 19, 2010

    เริ่มต้นจาก Update ข่าวเพื่อน จบลงที่การเมือง (อีกแล้ว)

    ท่านนักบินเต๋า เพื่อนเลิฟมาเยือนเชียงใหม่ เลยนัดกินกาแฟหม่ำขนมเค้ก อัพเดตสารทุกข์สุขดิบกันนิดนึง :)

    พาเต๋าไปร้านไปยาลใหญ่ นิมมานซอย 15 บรรยากาศดี ที่สำคัญเจ้าของร้านยิ้มหวานมาก ติดใจ ^^

    เต๋าเริ่มต้นบทสนทนาหลังจากไม่ได้เจอกันหลายเดือนว่า "เอ้าแก มีอะไรอัพเดตบ้าง ว่ามา"

    555+ นี่แกเห็นชั้นเป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารของเพื่อนๆ ในรุ่นรึไงยะ ว่าแล้วก็เล่าสารทุกข์สุขดิบของเพื่อนๆ ที่เจอกันช่วงสงกรานต์ให้เต๋าฟัง นอกจากเรื่องเพื่อนๆ แล้วก็อัพเดตเรื่องตัวเองให้กันและกันติดตามกันไปด้วย บลา บลา บลา สนุกสนานกันซะมากมาย

    ซักพักนึง เต๋าก็ถามว่า "เฮ้ยฟาง แก...เหลืองหรือแดงวะ คือ แก.. แดงหรือเหลืองวะ"
    ฮ่าๆ ๆ ๆ เดี๋ยวนี้เพื่อนกัน เวลาจะคุยเรื่องการเมืองต้องเช็คข้างกันซักนิดนึงนะคะ จะได้เลือกประโยคมาคุยกันถูก ... ประเทศไทย ไชโย!!

    "ชั้นเหรอ ชั้นไม่ชอบแดงว่ะ"
    "งั้น แกเหลืองเหรอ?"
    "อืมมม... ก็ไม่ว่ะ ตอนเหลืองยึดสนามบิน ชั้นก็ไม่เห็นด้วยนะ ..... ชั้นรักในหลวงว่ะ"
    "เออ ... เดี๋ยวนี้คนไทย ไม่รู้เหมือนกันว่ะ ชั้นรู้สึกว่าการรับข้อมูลข่าวสารสำหรับบางคนที่เค้าไม่แดง ก็เหลืองไปเลย บางทีเค้าเลือกรับข้อมูลด้านเดียว ถ้าเป็นข้อมูลอีกฝั่งนึง เค้าจะแอนตี้ รับไม่ได้เลย"
    "เห็นด้วยแก วันก่อนชั้นไปกินหมูกระทะกับเพื่อนที่ชอบแดง ชั้นก็เข้าใจว่าจุดยืนของเค้า คือ ไม่ชอบระบบศักดินา ไม่ชอบให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นในสังคมว่ะ (รายละเอียดบางส่วน บ่นไปแล้วใน Blog ที่แล้วค่ะ :)) แต่ที่ชั้นไม่เข้าใจ คือ เสื้อแดงอยากได้อะไรจากการชุมนุมครั้งนี้"
    "ไม่รู้เหมือนกัน ถ้ายุบสภาแล้ว ระบบศักดินาจะหมดไปเหรอวะ หรือว่าทักษิณจะกลับมาได้"
    "ชั้นว่าทักษิณคงกลับมาไม่ได้ละล่ะ แต่คงมีคนกลุ่มหนึ่งที่คิดว่ารัฐบาลที่ได้จากการเลือกตั้งในครั้งหน้า จะสามารถทำให้เค้ามีรายได้มากขึ้นล่ะมั๊ง ชั้นดูข่าวจากไหนซักที่ ที่เป็นทักษิณโฟนอินเข้ามาบอกว่า เค้ารู้วิธีที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น นักเรียนทุกคนจะมีคอมพิวเตอร์ไปโรงเรียน ถึงแม้ว่าจะไม่มีเงินก็ตาม!! ถ้ายุบสภาแล้วมีรัฐบาลใหม่เค้าจะบอกวิธีให้ ... แกไม่มีเงินแต่มีคอมพิวเตอร์ไปโรงเรียนทุกคน เค้าจะทำวิธีไหนวะ ถ้าไม่แจกคอมพิวเตอร์เนี่ย แล้วมีคอมพิวเตอร์ไปโรงเรียนมันเป็น "การพัฒนา" ที่ "ยั่งยืน" เหรอ?"
    "อืมมม เห็นด้วยว่ะ"
    "ชั้นไม่รู้นะ ชั้นไม่ชอบทักษิณมาตั้งแต่เค้าเป็นนายกแล้ว เพราะชั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับนโยบายที่มันไม่ได้สร้างความยั่งยืนล่ะ ไอ่บัตร Thailand elite card นั่นชั้นเซ็งมากกับการที่ต่างชาติมาเป็นเจ้าของแผ่นดินเราได้ แล้วตอนปลดหนี้ให้คนที่ลงทะเบียนคนยากจน มันก็แปลกๆ มั๊ยแก เราเป็นหนี้ อยู่ดีๆ ก็มีคนมาบอกเราว่าไม่ต้องใช้หนี้แล้ว มันดีจริงเหรอ"
    "จริงแก เราควรสร้างคุณธรรมจริยธรรมในสังคม มากกว่าสร้างกิเลส มั๊ยวะ"

    ...... อีกหลายต่อหลายเรื่องที่เรานั่งคุยกันค่ะ ข่าวในต่างประเทศเป็นยังไง มุมมองของชาวต่างประเทศเป็นยังไง ....

    เราสองคนนั่งถกกันซะเครียดกับเรื่องการเมือง แต่เราสองคนก็ยังหาทางออกของปัญหาระดับประเทศในครั้งนี้ไม่ได้ เต๋าพูดมาประโยคนึง เราชอบมาก

    "จะทำอะไรก็ตาม ต้องอยู่ในกรอบ อยู่ในกฎ อยู่ในกฎหมาย ต้องไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน จะปิดสนามบิน หรือปิดราชประสงค์ คนก็เดือดร้อนเหมือนกัน เมื่อไหร่ก็ตามที่กระทำโดยไม่สนใจกฎหมายแล้วอะไรๆ มันก็ไม่จบหรอก"

    คุยไปคุยมา ยิ่งปวดหัวค่ะ เครียดกันสองคน ฮ่าๆๆๆ ตอนหลังเราต้องเตือนกันเป็นระยะ ๆ "แกๆ เครียดไปป่ะ" เดี๋ยวนี้ความเครียดมันใกล้ตัวจริง ๆ นะคะ นี่ขนาดเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันตั้งหลายเดือน ยังแอบมีจังหวะเครียดกันเลย (-_-")

    ทุกวันนี้ สังคมไทย จะคุยเรื่องการเมืองต้องระมัดระวังกันอย่างมาก ขำดีที่เต๋าเริ่มต้นประโยคได้น่ารักมาก
    "ฟางๆ แก... เหลืองหรือแดงวะ"

    จบลงที่เรื่องการเมือง (อีกแล้ววววว)

    Friday, April 16, 2010

    เพื่อนขา เราแค่คิดต่าง

    อากาศร้อน

    สถานการณ์บ้านเมืองยิ่งร้อน

    เราจะทำอะไรได้บ้าง ในสถานการณ์แบบนี้

    วันนั้นไปกินหมูกระทะกับเพื่อน ๆ ที่เห็นต่างจากเรา ....

    "แกคิดว่า นปช. สู้เพื่อให้ทักษิณกลับมาเหรอ มันไม่ใช่แบบนั้น เพราะยังไงเค้าก็กลับมาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ทักษิณเป็นโลโก้อยู่ เพราะเค้าสามารถเป็นศูนย์รวมใจได้" (แล้วที่ผ่านมากว่า 60 ปี ศูนย์รวมใจของคนไทย ของประเทศไทย รวมใจไม่ได้รึไง?? ท่านเป็นยิ่งกว่าศูนย์รวมใจเสียอีก)

    "ประชาชนที่ไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ เค้าไม่ได้ต้องการถุงเขียวบรรเทาทุกข์ไปตลอดชีวิตหรอก เค้าอยากได้มือถือ เค้าอยากได้คาราโอเกะ" (อันนี้เราเข้าใจ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ ที่มาของมือถือ หรือคาราโอเกะ เค้าจะไปเอามาจากไหน อย่าได้สร้างจากนโยบายที่มาจากการปลดหนี้ การออกเงินกู้ มันได้เงินจริง ได้เงินเร็ว แต่มันไม่ยั่งยืน!!)

    "คนทำงาน ทำธุรกิจ เค้าทำแล้วก็หวังให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้น ขืนมัวแต่เศรษฐกิจพอเพียง ประเทศเราก็ตามประเทศอื่นไม่ทัน" (เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้บอกว่าต้องอยู่อย่างจำกัดจำเขียด แต่จะต้องรู้จักประเมินศักยภาพตัวเอง ต้องนำความรู้และหลักวิชาการมาประยุกต์ใช้อย่างถูกต้อง และต้องรู้จักสร้างภูมิคุ้มกัน สอนให้ใช้ชีวิตบนพื้นฐานของ "คุณธรรม" ถ้าศึกษาแก่นของเศรษฐกิจพอเพียง จะรู้ว่าท่านไม่ได้สอนให้ใช้เงินวันละ 50 บาท ถ้ารวยมากจะใช้วันละ 5 แสน ก็ใช้ได้ แต่จะต้องถูกต้องบนพื้นฐานของคุณธรรมจริยธรรม และแบ่งคืนสู่สังคมด้วย)

    "ทำไมคนกรุงเทพฯ ต้องแบ่งชนชั้น ดูถูกคนจน เค้ามาชุมนุมไม่ได้ถูกจ้างมา" (เราเข้าใจ แต่คนทีเห็นต่างจาก นปช. จะต้องดูถูกหรือแบ่งแยกชนชั้นทุกคนเหรอ คนที่ดีก็มี คนที่ใช้แต่อารมณ์ก็เยอะ ในทำนองเดียวกัน คนที่มาชุมนุม มาด้วยความจริงใจ มาด้วยเจตนาดีต่อประเทศชาติตามแนวคิดของเค้าก็เยอะ และคนที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตัวก็มีไม่น้อย เราเห็นต่าง เพราะเราคิดว่านโยบายที่เหมาะสมกับประเทศควรจะเป็นนโยบายที่สร้างความยั่งยืน และสร้างคนดีให้สังคม)

    เราไม่เคยเชื่อว่านโยบายที่สามารถขายแผ่นดินไทยให้ต่างชาติจะเป็นนโยบายที่ดีได้ แก้รัฐธรรมนูญให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้เกิน 50% หรือการขายบัตร Thailand elite card ใบนึงเป็นล้านแต่ดันไม่มีวันหมดอายุ แถมสามารถถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในไทยได้ จะเป็นความคิดของคนที่รักผืนแผ่นดินนี้ด้วยใจจริง

    ส่วนความคิดเห็นอื่นๆ ที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นการทำลายศูนย์รวมใจของคนไทยทั้งประเทศ ไม่อยากพูดถึง เพราะเป็นเรื่องจริง หรือไม่จริง เราไม่สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง เราเชื่อตามสิ่งที่เราเห็น เหรียญมีสองด้านไม่มีใครดี 100% ไม่มีใครชั่ว 100% เพียงแต่เราก็ควรเลือกคนที่มีความชั่วน้อยที่สุด ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า

    “ ...ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด การทำให้บ้านเมืองมีความปรกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้... ”

    (พระราชทานในงานชุมชนลูกเสือแห่งชาติ ณ ค่ายลูกเสือวชิราวุธ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒)

    กะว่าจะจบแค่นี้ แต่ก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่พระองค์ทรงมีพระราชดำรัส อันเป็นข้อคิด ที่จะสร้างประโยชน์ สร้างความสงบสุขให้แก่สังคม เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตในทางที่ถูกที่ควรไว้เสียมากมาย จะอย่างไรก็ตาม เรารักในหลวง ...

    ดีกล่าวลีมากมาย ที่รังแต่สร้างความแตกแยกในสังคม โจรกระจอกบ้าง ยูเอ็นไม่ใช่พ่อบ้าง อำมาตย์บ้าง ไพร่บ้าง ทั้งหลาย มองไม่เห็นประโยชน์ใด ๆ จริงๆ (T^T) เสียดายความเก่งกาจ ความฉลาดของเค้า ถ้าเพียงแค่มีคุณธรรมและจริยธรรม เค้าจะเป็นคนที่ทั้งเก่งและดี.........

    ไม่ได้ต้องการจะให้เพื่อนต้องเปลี่ยนความคิดเห็น ไม่ได้คิดว่าใครถูกใครผิด ต่างคนต่างมีเหตุผลของตัวเอง ต่างคนต่างมุ่งหวังและเจตนาดีต่อสังคมโดยรวม แค่เห็นต่างเท่านั้น ....

    ก่อนกลับบ้าน เพื่อนเราบอกว่า "แก คิดมากๆ หน่อย"

    เพื่อนขา ชั้นตรึกและตรองแล้วค่ะ

    พวกเราแค่เห็นต่างค่ะ แค่ความเห็นไม่ตรงกันมันทำลายสิ่งดีๆ ที่พวกเรามีให้กันไม่ได้หรอกค่ะ ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันไปจนตายอยู่ดี :)

    Sunday, April 4, 2010

    คุณธรรมนำความรู้ vs. ความรู้คู่คุณธรรม

    มีอยู่ครั้งหนึ่งเคยได้ยินมาว่านโยบายในการพัฒนานักศึกษาที่ได้รับมา จะต้องพัฒนานักศึกษาให้มี "คุณธรรมนำความรู้" ตอนนั้นมีการนำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นในแก็งค์อาจารย์ว่าเราควรพัฒนาให้ นศ. เป็นผู้มีคุณธรรมนำความรู้ จริงหรือ?

    "ถ้าเป็นคนดีแต่โง่ นั่นมันดีแล้วหรือ?" ใครสักคนในกลุ่มถามขึ้นมา
    "ถ้านศ.ของเรา ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แต่คำนวณการรับน้ำหนักของตึกผิดพลาด นั่นจะเป็นวิศวกรที่ดีหรือ?"

    ถ้าอย่างนั้น นักศึกษาควรจะต้องเป็นคนเก่ง มากกว่ามีคุณธรรม งั้นหรือ ??
    คำตอบก็คือ ไม่ เพราะคนเก่งที่ไม่มีคุณธรรมนั้น น่ากลัวยิ่งกว่า เค้าอาจจะสามารถเบียดเบียน เอาเปรียบสังคมได้มากกว่า

    บทสรุปของวงสนทนาวันนั้น จบลงที่เราจะต้องพัฒนานักศึกษาของเราให้ "มีความรู้คู่คุณธรรม" คงไม่สามารถมีอะไรนำอะไรได้ ทั้งสองอย่างต้องมีดีควบคู่กันไป

    เมื่อคืนนั่งดูจงกลกิ่งเทียน ละครช่อง 3 กับหม่าม๊า ทำให้มั่นใจในข้อสรุปนี้อีกครั้ง ตอนที่เจ้าย่าบัวละวงจะมอบสูตรยาอายุวัฒนะให้กับนางเอก เจ้าย่าบอกว่านางเอกต้องให้สัญญา 2 ข้อ นั่นคือ ตอนที่จะหาผู้สืบทอดความลับนี้จะต้อง 1. มอบให้กับคนดี เพราะถ้าคนไม่ดีได้ไปก็มีแต่จะทำให้เค้ามีเวลาทำชั่วได้มากขึ้น และ 2. จะต้องไม่มอบให้กับคนโง่ เพราะคนโง่ได้ของดีไป ก็เอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์ไม่ได้ .....

    แสดงว่าบัณฑิตที่ดีนั้นจะต้องเป็นคนดี (มีคุณธรรม) และ ฉลาด (ไม่โง่) ถึงจะก่อประโยชน์ให้กับประเทศชาตินั่นเอง

    (^_____________________^)


    ณ อ่างแก้ว มช.



    คุณหมอบอกว่าหม่าม๊าต้องเดินออกกำลังกายบ้าง วันนี้สองคนแม่ลูก เลยตั้งใจว่าไปเดินเล่นที่อ่างแก้ว ในมช. คนไม่เยอะ ฝุ่นไม่เยอะ เดินไป คุยไป สุขภาพกายสุขภาพใจน่าจะดีขึ้นบ้าง :)



    ตั้งใจเดินมากๆ ค่า!! แม่สู้ๆ



    ตอนนี้เหนื่อยแล้ว นั่งพักมองฟ้า มองน้ำ มั่งดีกว่า


    ตบท้ายด้วยชมพระอาทิตย์ตกดิน ณ อ่างแก้ว ค่ะ
    ปีนี้อากาศร้อนมากจริงๆ ค่ะ น้ำในอ่างเก็บน้ำอ่างแก้ว แห้งเหือดกันไปเลย


    หม่าม๊าบอกว่า นี่ไงลูก น้ำลดตอผุดของจริง :)
    .................................................
    จงทำทุกอย่างบนพื้นฐานของความดี เวลาน้ำลดจะได้ไม่มีอะไรผุดมาให้เกะกะลูกกะตาแบบนี้