Sunday, June 26, 2011

ขอบฟ้า :)


เพราะความคิดถึง ... มันข้ามขอบฟ้าได้ :)
ตั้งแต่สมาชิกในบ้านกระจายตัวกันไปอยู่คนละมุมของโลก ทำให้สาลินีค้นพบว่า ...
♪♫ ♪♫ อยู่ไกลแค่ไหน ว้าเหว่สักเท่าไหร่ ขอบฟ้าคงทำให้เราใกล้กัน .. ขอบฟ้าคงทำให้เราพบกัน ♪♫ ♪♫

credit: เพลงขอบฟ้า (เจี๊ยบ วรรธนา)

Saturday, June 25, 2011

อาหวั่วม่า ... ที่รัก :)



"อาม่ากำลังจะไปหาหลานละ"
ข้อความสั้นๆ ที่น้องชายสุดที่รักโพสต์ไว้พร้อมกับหน้าตาที่ซ่อนความสุขไว้ไม่อยู่ของหม่าม๊า ...

นี่หม่าม๊ากำลังจะเป็นอาหวั่วม่า (ยาย) ของเด็กชายคนนึงแล้วเหรอเนี่ย?
แล้วภาพอาหวั่วม่าของฉันก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำทันที ...

อาหวั่วม่าเป็นผู้หญิงใจดี พูกไทยไม่ค่อยชัก ทำกับข้าวอร่อยที่สุดในโลก
ตอนเด็กๆ (จนโต) เวลาไปนอนบ้านอาหวั่วม่า รับประกันได้ว่าจะได้กินอาหารแสนอร่อย เมนูที่กินเป็นสิบปีก็ไม่เคยเบื่อเลย คือ กุ้งผัดไข่ ผัดผักบุ้ง (สูตรลับของหวั่วม่า) ต้มจืดฟัก ผัดบร๊อคคลอรี่ ผัดหมูย่าง :) การกินข้าวที่บ้านหวั่วม่าเป็นอะไรที่พิเศษกว่าเวลากินข้าวที่บ้าน เพราะกินกันแบบจีนๆ ใช้ตะเกียบกินข้าว หวั่วม่าจะมีความสุขมากเวลาเห็นหลานๆ กินไปด้วย ชมไปด้วยว่ากับข้าวฝีมือหวั่วม่าอร่อยขนาดไหน จำได้ว่าครั้งนึงป่าป๊าจะพาไปกินข้าวนอกบ้าน แต่พวกเราบอกว่ามากินข้าวบ้านหวั่วม่าอร่อยกว่าตั้งเยอะ หวั่วม่าหุบยิ้มไม่อยู่เลยทีเดียว "ได้ยิงอย่างนี้หวั่วม่าก็ลีใจ" หวั่วม่าเป็นคนใจดีมาก ไม่เคยดุ ไม่เคยตี มีแต่สอนและยิ้มเสมอ สัปดาห์ไหนที่มีทั้งลูกของหม่าม๊า และลูกของอี๊หม่วยไปนอนพร้อมกัน สัปดาห์นั้นหวั่วม่าจะมีความสุขเป็นพิเศษ เพราะหลานอยู่เต็มบ้านกันมาก

การไปช่วยหวั่วม่าขายดอกไม้ที่ตลาดก็เป็นอีกกิจกรรมแสนสนุก (รึเปล่า?) ของพวกเราด้วยเหมือนกัน ต้องตื่นตั้งแต่ตอนเช้า นั่งรถสามล้อถีบไปที่กาดหลวง เปิดร้าน เฝ้าร้าน ร้อยมาลัย (ซึ่งสาลินีได้รับผิดชอบแค่ร้อยตุ้มของมาลัยเท่านั้น (-*-") มากกว่านั้นมันจะเละ!! เสมอ) ซื้อขนมกิน นอนหลับ (ทำไมความทรงจำเรื่องช่วยงานนี่มันรางเลือนเหลือเกินนะ)

ตอนเด็กๆ พวกเราผลัดกันไปนอนบ้านหวั่วม่าบ่อยๆ แต่พอโตขึ้นกลายเป็นว่านานๆ จะได้ไปหาหวั่วม่าทีนึง ทำไมตอนนั้นพวกเราไม่ได้นึกถึงเลยว่าหวั่วม่าเองก็อยู่บ้านนั้นกับลูกจ้างหนึ่งคน... เท่านั้น หวั่วม่าคงจะเหงาแต่หวั่วม่าก็ไม่เคยบ่นให้ฟังเลยแม้แต่ครั้งเดียว หลังจากที่โดนรถชนหวั่วม่าก็เดินไม่ได้ ช่วงนั้นพวกเราก็ผลัดกันไปอยู่กับหวั่วม่ากันบ้าง แต่พอหวั่วม่าดีขึ้นเราก็กลับไปใช้ชีวิตปกติกันดังเดิม ...

คืนที่หวั่วม่าเสีย จำได้ว่าเรากับฟอร์ดอยู่ที่กรุงเทพฯ หม่าม๊าโทรมาตอนตีสี่กว่า ๆ เรากับฟอร์ดก็ไปสนามบินกันตั้งแต่ตอนเช้า (แปลกนะเราจำไม่ได้ว่าไปซื้อตั๋วเครื่องบินเอาดาบหน้าหรือว่าอย่างไร) .... นี่หวั่วม่าจากพวกเราไปเกือบ 9 ปีแล้วเหรอเนี่ย :'( ตอนที่หวั่วม่าเสียมักจะมีความคิดที่ว่า ทำไมเราถึงไม่ดูแลใส่ใจเค้าให้มากกว่านี้โผล่ขึ้นมาเสมอ คนเรานี่ถ้าไม่เสียใจ ไม่ผิดหวังก่อน ก็จะคิดไม่ได้สินะ ..

หม่าม๊าเคยเล่าให้ฟังว่าตอนหม่าม๊าเด็กๆ หวั่วม่าก็เคยดุ เคยตี นี่ฉันนึกภาพไม่ออกเลยนะ หวั่วม่าแสนจะใจดีขนาดนั้นจะตีใครลงได้ยังไง จนมาถึงวันนี้ วันที่หม่าม๊าจะกลายเป็นหวั่วม่าเหมือนกัน พนันกันได้เลยว่าหม่าม๊าไม่มีทางตีหลานเด็ดขาด หม่าม๊าก็คงจะใจดี ทำกับข้าวอร่อย (ทำไมวนเวียนแต่เรื่องกิน (-___-")) หลานคงนึกโหมดโหดๆ ของหม่าม๊าไม่ออกเหมือนกัน ฮ่า ๆ :D ชีวิตครอบครัวคงจะเป็นแบบนี่ล่ะมั๊ง การดูแล เอาใจใส่ และให้ความรักกันและกัน จากรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่งแล้วก็อีกรุ่นหนึ่งไปเรื่อยๆ แบบนี้คงจะทำให้การมีชีวิตอยู่ของคนเรามีความหมายและมีคุณค่าสินะ ... คุณค่าของคน ๆ นึงไม่ได้อยู่ที่ว่าตัวเค้าอยู่ใกล้ๆ กับเราเสมอรึเปล่า แต่อยู่ที่ว่าใจของเราลอยไปอยู่กับใกล้ๆ กับเค้าบ่อยแค่ไหนต่างหากล่ะ ทุกวันนี้อาหวั่วม่าไม่ได้มานั่งอยู่ใกล้ๆ พวกเราเหมือนเดิมอีกแล้ว แต่ใจของฉันกลับลอยและย้อนไปคิดถึงหวั่วม่าในความทรงจำเสมอ

ไม่รู้ทำไม วันนี้ฉันคิดถึงหวั่วม่ามากเป็นพิเศษ :)

ป.ล. ไว้ถ้าฟอร์ดมีหลานให้หม่าม๊ากลายเป็นอาม่า (ย่า) เมื่อไหร่ วันนั้นฉันคงย้อนกลับไปคิดถึงอาม่าในความทรงจำอีกซักคน :)