Friday, January 7, 2011

วันเด็กแห่งชาติ







อาจเป็นเพราะรู้ตัวว่ากำลังจะมีหลาน วันเด็กปีนี้ สาลินีเลยให้ความสนใจมากกว่าปีก่อนๆ ที่ผ่านมา (เว่อร์มาก) และหลังจากที่ทำอัลบั้มรูปฉลองวันเด็กไปเมื่อคืน ก็นึกถึงเพลงเด็กเอ๋ยเด็กดี เพลงประจำวันเด็กตลอดกาลของประเทศไทย มานั่งคิดว่า "เออ หน้าที่เด็กดีทั้ง 10 อย่างเนี่ย ถ้าเด็กๆ ทำได้ ประเทศชาติคงเจริญจริงๆ" แล้วก็แว้บขึ้นมาว่า "ถ้าเด็กๆ ถามว่ามันหน้าที่ของเด็กเท่านั้นเหรอ?" เราจะตอบเจ้าเด็กตัวน้อยๆ ยังไง .......


เพลงเด็กเอ๋ย เด็กดี (ประพันธ์เนื้อร้องโดย ชอุ่ม ปัญจพรรค์ และทำนองโดย เอื้อ สุนทรสนาน)

เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน
เด็กเอ๋ยเด็กดี ต้องมีหน้าที่สิบอย่างด้วยกัน

หนึ่ง นับถือศาสนา
สอง รักษาธรรมเนียมมั่น
สาม เชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์
สี่ วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน
ห้า ยึดมั่นกตัญญู
หก เป็นผู้รู้รักการงาน
เจ็ด ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน
แปด รู้จักออมประหยัด
เก้า ต้องซื่อสัตย์ตลอดกาล น้ำใจนักกีฬากล้าหาญ ให้เหมาะกับกาลสมัยชาติพัฒนา
สิบ ทำตนให้เป็นประโยชน์ รู้บาปบุญคุณโทษ สมบัติชาติต้องรักษา
เด็กสมัยชาติพัฒนา จะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ


รำลึกเนื้อเพลงเสร็จแล้ว ก็จัดการเช็คดูว่าตัวเองทำหน้าที่ทั้ง 10 อย่างนี้ได้ครบถ้วนสมบูรณ์รึยัง .... แล้วก็พบว่าบางข้อยังต้องใช้ความพยายามอย่างรุนแรงอยู่เลย 

ข้อ 1 ต้องนับถือศาสนา อันนี้นับถือศาสนาพุทธ ถือว่าผ่านข้อแรกไปอย่างสบาย ๆ
ข้อ 2 ต้องรักษาธรรมเนียมมั่น เท่าที่นึกออก ก็ยังไม่เคยแหกธรรมเนียมอะไร (หรืออาจทำไปแต่จำไม่ได้)
ข้อ 3 ต้องเชื่อพ่อแม่ครูอาจารย์ อันนี้สมัยเด็กๆ ก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง โตขึ้นมาแล้ว ก็ยังเชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง อยู่ดี (-_______-") .. ต้องปรับปรุง ๆ
ข้อ 4 วาจานั้นต้องสุภาพอ่อนหวาน อันนี้ก็พยายามจะไม่หยาบคายนะคะ (เห็นมั๊ย มี "นะคะ" ด้วย :P )
ข้อ 5 ต้องยึดมั่นกตัญญู ตอนนี้โตแล้วต้องหมั่นตอบแทนคุณผู้มีพระคุณ ท่องไว้ ๆ

ผ่านมาครึ่งนึงด้วยความทุกลักทุเล แล้วก็มารู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามอย่างรุนแรงในข้อ 6 และ ข้อ 7 ต้องท่องไว้ๆ ๆ ต้องรักการงาน ต้องศึกษาให้เชี่ยวชาญ โหยยยย และที่ต้องพยายามอย่างรุนแรง "ต้องมานะบากบั่น ไม่เกียจไม่คร้าน" เนี่ยล่ะ 
(-__________-")

อุ๊ย หันมาดูข้อ 8 ต้องรู้จักออมประหยัด (เห็นมั๊ยๆ ๆ อะไรไม่จำเป็นก็ไม่ต้องไปอยากได้) จากนั้นแว๊บมาดูข้อ 9 ต้องซื่่อสัตย์ตลอดกาล (โห.... ตลอดกาลเลยเหรอฟระ!! อะ ๆ พยายาม ต้องพยายาม) นอกจากนี้ยังต้องมี "น้ำใจนักกีฬา" และต้อง "กล้าหาญ" (คงจะหมายถึง ต้องรู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย สินะ ... ไม่ค่อยแน่ใจว่าเรามีน้ำใจนักกีฬารึเปล่า เพราะตอนอารมณ์ปกติ ก็คงคิดเข้าข้างตัวเองว่าเรายอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่เวลาอารมณ์โกรธ เสียใจ หรือหงุดหงิดทีไร มันชักจะรับไอ่เจ้าความเป็นจริงไม่ค่อยได้ทุกที) ชอบข้อนี้ที่บอกว่า "ให้เหมาะกับกาล" ทำให้รู้สึกว่าจะต้องดูกาละและรู้เทศะ นั่นก็คือ ทำอะไรต้องดู "เวลา" และ "สถานที่"  เออ.... ก็จริงแฮะ

ข้อสุดท้ายข้อ 10 ต้องทำตน "ให้เป็นประโยชน์" (จ้ะๆ อย่าทำตัวเป็นพวก "ไร้ประโยชน์" นะจ๊ะ) รู้บาปบุญคุณโทษ (อื้มมมม อันนี้สำคัญต้องรู้ว่าอะไรเป็นบาป เป็นบุญ แล้วก็เลือกทำแต่สิ่งที่เป็นคุณ อะไรที่ทำแล้วเป็นโทษ ต้องไม่ทำ) สมบัติชาติต้องรักษา (นอกจากต้องรักษาแล้ว ยังต้องตอบแทนคุณแผ่นดินอีกต่างหาก .... อื้มมม เท่าที่รู้ก็ไม่เคยเห็นเด็กคนไหนขายชาติ ขายสมบัติชาติเลยนะ มิน่าล่ะ เค้าถึงบอกว่ามันเป็นหน้าที่ของเด็กดี)

เด็กสมัยชาติพัฒนา จะเป็นเด็กที่พาชาติไทยเจริญ (อย่างนี้หมายความว่า เด็กที่ทำหน้าที่ได้ครบตามนี้ จะทำให้ชาติไทยเจริญสินะ แหมๆ พวกผู้ใหญ่อย่างเราๆ ก็หาวิธีอื่นเพื่อพัฒนาประเทศชาติให้เจริญซะตั้งนาน ความจริงเคล็ดลับความเจริญของชาติมันอยู่ที่นี่เอง)

สรุปความเอาเองว่า ถ้าเด็กๆ ทำหน้าที่ได้ครบ 10 อย่างนี้ ประเทศไทยเจริญชัวร์ๆ (ในสมมติฐานที่ว่าประเทศไทยมีแต่เด็ก เพราะอาจมีผู้ใหญ่บางคนที่ขัดขวางความเจริญของประเทศ) แล้วเราในฐานะผู้ใหญ่ถ้าไม่ทำให้ครบถ้วนเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับเด็กๆ แล้วเราจะตอบเค้าอย่างเต็มปากเต็มคำได้มั๊ย เวลาเค้าถามว่า "ผู้ใหญ่ทำได้กี่ข้อครับ/คะ?"

สุขสันต์วันเด็กจ้ะ :)

Sunday, January 2, 2011

หลงทางไปเจนีวา

30 ธ.ค. ถึง 1 ม.ค. วางแผนจะไปเที่ยวส่งท้ายปี ณ เมืองชาโมนิคซ์ แถวๆ ยอดเขามองต์บลังค์ เป็นทริปเล่นสกีครั้งแรกในชีวิต (>_____<) ทริปนี้วางแผนล่วงหน้าร่วมเดือน พร้อมกับปั่นงาน ส่งงานก่อนเดินทางเพื่อที่จะได้ไปพักผ่อนสมใจ จนแล้วจนรอดสาลินีก็มีอันต้องประสบเหตุไม่คาดคิดซะทุกครั้ง จนตอนนี้เข้าใจแล้วว่า มันไม่ได้อยู่ที่ดวง แต่มันอยู่ที่ความซื่อบื้อของตัวเองทั้งนั้น

เริ่มต้นทริปในครั้งนี้มีสมาชิกทั้งหมด 12 คน 10 คนเดินทางไปล่วงหน้ากันไปก่อน สาลินีและศยมลเป็นสองคนสุดท้ายที่จะตามขึ้นไป กำหนดการของเราง
05.45   ออกจากบ้าน
06.34   รถไฟออกจาก Gare Part Dieu
09.15   เปลี่ยนรถที่ St Gervais
09.39   รถไฟออกจาก St Gervais
10.39   ถึง Chamonix Mont-Blanc อย่างปลอดภัย

แผนนี้เริ่มต้นมาอย่างดี เรามาถึงสถานีรถไฟ (Gare) Part Dieu ตั้งแต่หกโมงสิบห้า มีเวลาชิลๆ ซื้อครัวซองต์กับกาแฟเป็นอาหารเช้าสุดคลาสสิคไปกินบนรถไฟอย่างมีความสุข :) ฤกษ์งามยามเสียตั้งแต่ตอนที่เจ้าหน้าที่ประกาศเปลี่ยน Platform ของรถไฟจาก Platform A เป็น H ทำให้เราสองคนต้องลากกระเป๋าเดินขึ้น เดินลงกันอีกรอบ (-________-“) อะ.. ไม่เป็นไร แค่นี้ยังรับได้อยู่ เรื่องจิ๊บๆ พอมาถึง Platform H ก็เห็นรถไฟรอท่าอยู่แล้ว ตอนที่ดูป้ายเค้าก็เขียนว่า Platform H ไปเจนีวา (Geneva) ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และไปสถานีแซงต์กั๊กเว่ (St Garevais) ด้วย …จากการคิดตรึกเอาเอง เราสองคนก็เข้าใจว่าปลายทางคงอยู่ที่เจนีวา และผ่านสถานี้ St Gervais ด้วย พอจะขึ้นรถไฟ ก็งงๆ เล็กน้อยว่า เอ๊ะ ไม่เห็นเค้ายอมขึ้นกันเลย เราสองคนมองซ้ายมองขวา เห็นวัยรุ่นกลุ่มใหญ่กำลังเดินขึ้นรถไฟอยู่ ก็เลยคิดว่า เอาวะ ตามกลุ่มใหญ่ๆ เอาไว้ ไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน ยังไงๆ ก็ไม่ผิด Platform แน่นอน

พอรถไฟแล่น ก็ดี๊ด๊ากับบรรยากาศข้างทางกันไป นั่งกันไปชั่วโมงครึ่ง เจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว ก็บอกเราว่าตู้นี้ไปเจนีวานะ ไม่ได้ไป St Gervais (อ้าวววว ก็รู้แล้ว มันเป็นทางผ่านไม่ใช่เหรอ) เค้าบอกว่าเปล่า ตอนออกจากที่ Lyon น่ะก็ออกมาพร้อมกัน แต่เค้าลากตู้ที่จะไป St Gervais แยกออกไปที่สถานีก่อนหน้านี้แล้ว (อ้าว คราวนี้ฉอหอจนได้) เจ้าหน้าที่ก็แสนใจดี เขียนใส่ในตั๋วเราว่าเราต้องไปลงเจนีวา และรอสองชั่วโมงแล้วค่อยนั่งรถไฟกลับไปที่สถานีโน่นนี่ และเราจะถึง St Gare Vais ประมาณ 13.50 (เอาล่ะ แผนบี ต้องเกิดขึ้นเสมอในชีวิต) ปรากฎว่าต้องรออีกสองชั่วโมง กว่ารถไฟจะไป Chamonix จะมา และแล้วเราสองคนก็ได้นั่งชิลกาแฟ ซื้อโปสการ์ด ซื้อของขวัญจับฉลาก กันอีกครั้งนึง ปกติชาวบ้านใช้เวลา 4 ชั่วโมงจาก Lyon ไป Chamonix แต่วันนี้สาลินีและศยมล ใช้เวลากว่า10 ชั่วโมงในการเดินทาง ถึงจะนานแต่ก็คุ้ม วันเดียวเที่ยวสองประเทศ เก๋มั๊ยล่ะ!!