ปิดเทอมนี่ดีจริงๆ ได้คุยกับหม่าม๊าบ๊อยบ่อย :)
หลังจากที่เจ้าหลานตัวแสบไปโรงเรียนได้ 1 วัน ก็เกิดอาการลมพิษขึ้น วันศุกร์แทนที่จะได้ไปโรงเรียนมาวินเลยต้องไปหาหมอแทน ถึงจะมีผื่นขึ้นตัวแต่มาวินก็ไม่งอแงเลย (คำชื่นชมจากปากคุณยายผู้รักหลานสุดชีวิต) คุณหมอบอกว่าให้สังเกตดูว่ามาวินมีโอกาสจะแพ้อะไรบ้าง จนถึงตอนที่คุยกับเราหม่าม๊าก็ยังคงนึกไม่ออกว่ามาวินแพ้อะไร เพราะไม่ว่าจะอาหารการกิน หรือเล่นที่บ้าน มาวินก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ออกมา ช่วงนี้เลยต้องใส่ใจรายละเอียดการกิน เล่น ของมาวินมากหน่อยล่ะมั๊ง (คือคุณยายและอี๊เฟี๊ยตเป็นคนสังเกตสินะ ขออภัยที่ข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือใด ๆ ได้)
จบเรื่องมาวินเป็นลมพิษ ก็ต้องเป็นเรื่องความน่ารักน่าชังของเจ้าหลานตัวแสบที่คุณยายเก็บมาเล่าให้ฟังเสมอ ๆ รอบนี้เล่าให้ฟังว่าวันก่อนตอนที่จะพามาวินออกบ้าน มาวินหันไปหาป้าอ้อม (คนที่จ้างมาช่วยดูแลป่ะป๊าเรา) แล้วพูดว่า "ป้าอ้อม take care big papa" ซึ่งหมายถึงให้ป้าอ้อมดูแลอากงด้วยนะ (มาวินเรียกอากงของเธอว่าบิ๊กป่ะป๊ะจ้ะ) เออ คิดได้ไงนะหลานเรา (-"-) พอพูดแบบนี้ปุ๊บคุณยายก็ชอบอกชอบใจว่าเจ้าตัวแสบนี่ช่างคิดช่างพูดจริง ๆ (ขวัญใจคุณยายล่ะเนอะ)
เราเพิ่งรู้เหมือนกันว่ามาวินหวงทั้งคุณยาย ทั้งบิ๊กป่ะป๊า ตอนที่คุณยายต้องไปเจาะเลือดเพื่อเตรียมตัวไปหาหมอ มาวินก็เข้าไปด้วย คุณยายบอกให้มาวินสวัสดีพี่ๆ เจ้าหน้าที่ มาวินก็ทำเฉย ทำหน้างง ๆ แต่พอเจ้าหน้าที่จับแขนคุณยายเตรียมจะเจาะเลือดเท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวแสบแหกปากดังลั่นพร้อมยกมือไหว้บอกสวัสดีครับ ๆ ๆ ไม่หยุดไม่หย่อน เอาซะจนเจ้าหน้าที่เจาะเลือดไม่ได้ ต้องให้อี๊เฟี๊ยตอุ้มออกไปนอกห้อง (มาถึงตรงนี้คุณยายก็ซาบซึ้งคิดว่าหลานคงไม่อยากให้ใครมาทำให้คุณยายเจ็บจ้ะ) และอีกครั้งตอนที่พยาบาลมาเปลี่ยนสาย feed อาหารให้ป่ะป๊า เจ้าตัวแสบเห็นเข้าก็แหกปากร้องไห้อีกเหมือนเดิม ถึงแม้คราวนี้ไม่ได้ยกมือไหว้ปลก ๆ แต่เสียงร้องไห้ของเจ้าตัวแสบก็ยังคงทำให้ผู้ใหญ่ต้องอุ้มออกไปนอกห้องอยู่ดี (-..-)v
นี่คือโทรไปคุยกับหม่าม๊าทีไร หนีไม่พ้นเรื่องหลานรักประจำบ้านทู้กที :)
F A N G
Saturday, August 17, 2013
Thursday, August 15, 2013
เมื่อมาวินคิดถึงโรงเรียน
วันนี้คุยกับหม่าม๊า ถามม๊าว่ามาวินไปโรงเรียนรึยังเพราะตอนป่วยหยุดโรงเรียนไปเป็นอาทิตย์เลย ม๊าบอกว่าไปมาแล้วและให้ทายว่ามาวินร้องไห้รึเปล่า เราบอกว่าชัวร์สิ ได้หยุดอยู่บ้านมาตั้งนานสงสัยวันนี้ร้องไห้โรงเรียนแตกแน่ๆ ม๊าบอกว่าผิดจ้า มาวินคิดถึงโรงเรียนมาหลายวันแล้ว บ่นว่า miss teacher Mickey, want to play with my friends เราแบบ เฮ้ย เกมพลิกจริงๆ ม๊าบอกว่าใคร ๆ ก็ทายว่ามาวินต้องร้องไห้หนัก แต่ผิดคาดกันทุกคนจ้า
นี่ถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการในการไปโรงเรียนของมาวินเลยนะ สงสัยจะเริ่มชินแล้ว ม๊าบอกอีกว่าสงสัยอยู่บ้านนานเกินเลยเบื่อ ไม่มีอะไรทำ เห็นว่าคิดถึงโรงเรียน คิดถึงเพื่อนๆ และคิดถึงป้าหล้า (แม่ครัวของโรงเรียนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ) วันนี้เธอเลยมีความสุขกับการไปโรงเรียนมากจ้ะ ถึงแม้ว่าตอนไปส่งที่โรงเรียนจะหน้าเสียนิดนึงแต่ก็ไม่ร้องไห้นะ :)
เจ๊เฟี๊ยตเล่าให้ฟังว่ามาวินได้ศัพท์ภาษาอังกฤษจากโรงเรียนเยอะอยู่เหมือนกัน ตอนที่โรงเรียนสอนศัพท์ด้านซ้าย ด้านขวา เธอก็มาพูดให้ฟัง left-right ซ้าย-ขวา งี้ เออ ให้เด็กๆ ไปเรียนโรงเรียนสองภาษานี่ก็ดีเนอะ ดูเด็กจะเรียนรู้ได้เร็วดี (ไม่เหมือนเราที่ไม่เอาไหนกับภาษาเอาซะเลย -*-")
นอกจากนี้วันนี้อี๊เฟี๊ยตเลยซื้อของเล่นให้มาวินเพิ่มมาอีก (บ้านนี้รักหลานจริงๆ แจ้) เป็นตัวหนังสือ ABC (ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นหน้าตา) และยังมีตัวเลขแถมเครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ให้อีก (-...-)v สมกับที่รักของทุกคนในบ้านจริง ๆ :D
นอกจากนี้วันนี้อี๊เฟี๊ยตเลยซื้อของเล่นให้มาวินเพิ่มมาอีก (บ้านนี้รักหลานจริงๆ แจ้) เป็นตัวหนังสือ ABC (ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นหน้าตา) และยังมีตัวเลขแถมเครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ให้อีก (-...-)v สมกับที่รักของทุกคนในบ้านจริง ๆ :D
ตอนเราโทรไปนี่มาวินหลับปุ๋ยไปแล้ว วันนี้เลยได้คุยกับม๊ากับเจ๊เฟี๊ยตเท่านั้น แต่แค่นี้ก็ดีแล้วแหล่ะ ความจริงวันนี้ที่โทรไปเพราะอยากเห็นหน้าม๊าเท่านั้นแหล่ะ .. คิดถึง
Monday, August 12, 2013
เมื่อมาวินป่วย
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 - 10 ส.ค.) มาวินไม่สบาย เป็นไข้ ตัวร้อนจัดจนที่บ้านกลัวว่าจะเป็นไข้เลือดออก เลยพาเจ้าตัวแสบไปหาหมอ คุณหมอบอกว่าเบื้องต้นแล้วยังไม่น่าจะใช่ แต่ถามว่ามีโอกาสเป็นมั๊ยก็ยังมีโอกาสเป็นเหมือนกัน คุณหมอจึงจ่ายยาลดไข้มาให้ทานแล้วรอดูอาการต่อไป
ช่วงแรกๆ ก็ทานยาลดไข้ทุก 6 ชั่วโมง แต่บางวันที่ไข้ขึ้นสูงมากๆ ก็ให้ทานยาลดไข้ทุก 4 ชั่วโมง หม่าม๊าเล่าให้ฟังว่าตอนกลางคืนเวลาไข้ขึ้นสูงมาวินนอนไม่หลับแต่ก็ไม่งอแง นอนอยู่ข้างๆ ยายแล้วก็เรียกหายาย พอเบื่อๆ ก็นอนร้องเพลง ABC วนไปวนมาให้ยายฟัง (ยายบอกว่านี่ไม่รู้ว่าใครปลอบใครให้หลับกันแน่) พอเวลายาลดไข้เริ่มออกฤทธิ์ เจ้าตัวแสบรู้สึกสบายตัวขึ้น ก็หันไปบอกคุณยายว่า รักยาย ๆ เล่นอ้อนกันแบบนี้ทำเอาคุณยายน้ำตาร่วง :)
ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าตัวแสบก็มีผื่นขึ้นใต้ตา ตอนแรกผู้ใหญ่ก็สันนิษฐานว่าโดนมดกัด หรือว่าเอามือไปข่วนรึเปล่า พอพาไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกว่านี่เป็นผื่นแพ้ สงสัยจะแพ้น้ำตาหรือแพ้เหงื่อ ช่วงไม่สบายเวลาร้องไห้แล้วเอามือป้ายบ่อยๆ เลยอาจทำให้เป็นผื่นได้ หมอก็ให้ยามาทา พอไข้เริ่มลด ผื่นก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับด้วยเหมือนกัน หม่าม๊าบอกว่ารอบนี้นี่มาวินป่วยหนักที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยนะ
แต่ถึงจะป่วย จะผื่นยังไง เวลาข้าพเจ้าโทรไปคุยด้วยก็ยังเห็นเจ้าหลานชายกระโดดโลดเต้น เริงร่าได้อยู่ดี แถมวันนี้เธอคุยกับตุ๊กตาหมีพูห์แล้วยกมือไหว้ซะงามงดเลย (ทีกับอาอี๊นี่บอกให้สวัสดีทีไรทำเป็นไม่ได้ยินทู้กที) ป่วยทีนึงคนก็เป็นห่วงกันทั้งบ้านเลยนะเจ้าตัวแสบ ;)
ช่วงแรกๆ ก็ทานยาลดไข้ทุก 6 ชั่วโมง แต่บางวันที่ไข้ขึ้นสูงมากๆ ก็ให้ทานยาลดไข้ทุก 4 ชั่วโมง หม่าม๊าเล่าให้ฟังว่าตอนกลางคืนเวลาไข้ขึ้นสูงมาวินนอนไม่หลับแต่ก็ไม่งอแง นอนอยู่ข้างๆ ยายแล้วก็เรียกหายาย พอเบื่อๆ ก็นอนร้องเพลง ABC วนไปวนมาให้ยายฟัง (ยายบอกว่านี่ไม่รู้ว่าใครปลอบใครให้หลับกันแน่) พอเวลายาลดไข้เริ่มออกฤทธิ์ เจ้าตัวแสบรู้สึกสบายตัวขึ้น ก็หันไปบอกคุณยายว่า รักยาย ๆ เล่นอ้อนกันแบบนี้ทำเอาคุณยายน้ำตาร่วง :)
ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าตัวแสบก็มีผื่นขึ้นใต้ตา ตอนแรกผู้ใหญ่ก็สันนิษฐานว่าโดนมดกัด หรือว่าเอามือไปข่วนรึเปล่า พอพาไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกว่านี่เป็นผื่นแพ้ สงสัยจะแพ้น้ำตาหรือแพ้เหงื่อ ช่วงไม่สบายเวลาร้องไห้แล้วเอามือป้ายบ่อยๆ เลยอาจทำให้เป็นผื่นได้ หมอก็ให้ยามาทา พอไข้เริ่มลด ผื่นก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับด้วยเหมือนกัน หม่าม๊าบอกว่ารอบนี้นี่มาวินป่วยหนักที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยนะ
แต่ถึงจะป่วย จะผื่นยังไง เวลาข้าพเจ้าโทรไปคุยด้วยก็ยังเห็นเจ้าหลานชายกระโดดโลดเต้น เริงร่าได้อยู่ดี แถมวันนี้เธอคุยกับตุ๊กตาหมีพูห์แล้วยกมือไหว้ซะงามงดเลย (ทีกับอาอี๊นี่บอกให้สวัสดีทีไรทำเป็นไม่ได้ยินทู้กที) ป่วยทีนึงคนก็เป็นห่วงกันทั้งบ้านเลยนะเจ้าตัวแสบ ;)
Thursday, May 23, 2013
เมื่อมาวินไปโรงเรียน
23 พ.ค. 2556 หลานชายข้าพเจ้าไปโรงเรียนวันแรก เจ๊เฟี๊ยตรายงานว่า ไปได้ครึ่งวันก็ร้องไห้หาคุณยาย ที่บ้านจึงไปรับกลับบ้าน -จบ-
เจ้าเด็กติดยาย (-*-") เจ้าเด็กขี้อ้อน (-...-)v
อัพเดตข้อมูลจากแม่โอ (23 พ.ค. 2556) ได้ความว่าวันจันทร์คุณยายจะตามไปให้กำลังใจถึงโรงเรียนเลยทีเดียว เพราะกลัวมาวินจะรู้สึกว่าตัวเองโดนทิ้ง นี่รักหลานมากถึงขนาดนี้เลยนะ :)
นอกจากนี้ยังมีการซื้อกระเป๋าเป้ใบใหม่ เพื่อจูงใจความรู้สึกในการอยากไปโรงเรียนอีกด้วย จ้ะ
วันนี้ (28 พ.ค. 2556) ข้าพเจ้าอยากรู้ว่ากระเป๋าใบใหม่จะช่วยให้หลานข้าพเจ้ามีความสุขกับการไปโรงเรียนบ้างมั๊ย .. ซึ่งพบว่า ...
กระเป๋าไม่ช่วยอะไร แถมโรงเรียนก็ห้ามคุณยายไปอยู่ด้วยแล้วจ้า / จบข่าว
Monday, May 13, 2013
Somebody sweet to talk to
อัลบั้มใหม่ของวง She&Him : Volume3
ช่วงนี้ฟังอัลบั้มนี้วนไปวนมา ชอบ Zooey มากฮ่ะ
Wednesday, May 1, 2013
What fuels your life?
ข้าพเจ้าเป็นแฟนคลับงานเขียนของคุณตุ๊ก วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม (บ.ก. a day Bulletin, free copy ที่มีเรื่องเจ๋งๆ ให้อ่านบ่อยๆ) ถึงขั้นที่ต้องตามอ่าน Editor's note ทุกฉบับจาก app adb ใน iPad :]
ฉบับที่ 247 เป็นเรื่อง Wish You Live with Passion ซึ่งพูดถึงชีวิตที่ขาด passion (ในที่นี้เค้าหมายถึง ความรัก ความปราถนา ในการทำอะไรสักอย่าง) นี่จะทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย การตื่นนอนขึ้นมาในแต่ละวัน คงดูยากลำบาก และเหี่ยวเฉาเหลือเกิน ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจอารมณ์แบบนี้นะ จริงๆ แล้วเข้าใจมาหลายปีแล้วด้วย ตั้งแต่ช่วงที่ได้มาเป็นอาจารย์มาพักนึง เรารู้สึกว่าเรามาถึงจุดที่อยากเป็นแล้ว (ตอนนั้นเป้าหมายในชีวิต คือ ได้สอนหนังสือ) ชีวิตช่วงนั้นดูไม่ค่อยสดใส ต่างจากช่วงที่ยังไม่ได้เป็นแล้วเพียรพยายามจะไปถึงจุดนั้นให้ได้ พอไปถึงในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นจุดหมายแล้ว มันก็เหมือนกับ โอเค จบ พร้อมตาย ไรงี้ ซึ่งตอนนี้ย้อนกลับไปคิดแล้วรู้สึกว่าบ้ามาก -..- ที่คิดอะไรได้แค่นั้น
ตอนนั้นจุดเปลี่ยนคือ มานั่งคิดว่าได้สอนหนังสือแล้วไงต่อฟระ นี่เราไม่คิดต่อเลยเหรอว่าจะทำให้มันดีได้ยังไง เลยตั้งเป้าหมายใหม่อีกว่า เออ คราวนี้เป็นอาจารย์ที่แบบไม่ให้ใครมาด่าได้ นี่ต้องเป็นยังไง (ซึ่งความจริงแล้ว อาจมี นศ. หลายคนแอบด่าอยู่ แต่เราไม่รู้ งี้) นั่นแหล่ะ หลังจากนั้นเลยมีชีวิตชีวาในการใช้ชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่ชีวิตเหี่ยวเฉา แล้วก็ยังขำในความโง่และความบ้าของตัวเองอยู่ดีนะ
ถามว่ายังมีอารมณ์ที่ขาด passion ในชีวิตอยู่มั๊ย ก็ตอบว่ามีอยู่เรื่อยๆ ยิ่งช่วงที่มาเรียน ป.เอก นี่เข้ามาบ่อยมาก (การเรียน ป.เอก เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตของเราเหมือนกัน ซึ่งยังไม่อยากบ่น ณ ตอนนี้) เคล็ดลับก็คือ เมื่อไหร่ที่รู้สึกแย่ และเหี่ยวเฉา นี่ต้องรีบทบทวนว่า เฮ้ย ทำอะไรอยู่ ทำไปเพื่ออะไร ประมาณว่า cheer up ตัวเองขึ้นมานั่นแหล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวได้อยู่แบบแกนๆ แล้วจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
พอนึกถึงพลังในการใช้ชีวิต เราก็ไปนึกถึงรูปที่เคยโพสต์ใน FB รูปนึง เราใส่ caption ว่า "What fuels your life?" สนุกตรงที่มีคนมาตอบว่าพลังชีวิตของเค้าคืออะไร :] บ้างก็ว่าความรัก บ้างก็ว่าครอบครัว และบ้างก็ว่าสปิริต ที่ว่ามาทั้งสามอย่างมันก็ช่วยเติมพลังชีวิตให้เรานะ และตอนนี้เราคิดว่าอีกหนึ่งขุมพลังในชีวิต ก็คือ ความปราถนาที่จะทำอะไรสักอย่างให้มันสำเร็จ หรือ passion นั่นแหล่ะ
บางทีความยาก (และอาจมีความสนุกไปในตัว) คือ การตามหา passion ของตัวเองนะ ว่าเราคลั่งไคล้อยากจะทำอะไรในชีวิต ^^
What's your passion? What fules your life?
What's your passion? What fules your life?
ป.ล. ถ้าใครอยากอ่าน Editor's note ของ adb ฉบับ 247 เชิญตามนี้ ฮ่ะ
Thursday, August 23, 2012
Meaningful of Life Part I
ก่อนปิดวาก๊องซ์ไม่กี่อาทิตย์ เพื่อนสนิทคนนึงบ่นว่าหนังสือตัวเองหาย เป็นหนังสือที่เค้าชอบมากด้วย และด้วยความที่คิดเอาเองว่าอยู่ที่นี่อาจจะช่วยดูจากร้านหนังสือแถวนี้ให้ เลยรับปากว่าถ้าเจอจะส่งไปให้ละกัน หนังสือเล่มนั้นชื่อ Tuesday with Morrie เขียนโดย Mitch Albom
หลังจากตามหาหนังสือเล่มที่ว่าซะหลายรอบ ก็ยังไม่เจอซักที จนผลสุดท้ายเลยถามพนักงานที่ร้านหนังสือใกล้ๆ บ้านว่ามีเล่มนี้มั๊ย เค้าบอกว่าที่ร้านหมดมีเล่มอื่นที่เป็นของนักเขียนคนเดียวกันได้มั๊ย ว่าแล้วเค้าก็หยิบมาให้ดู หนังสือเล่มที่เค้าเอามาให้ดูนั้นชื่อว่า Have a little faith
เรารับหนังสือเล่มนั้นมาดู เปิดดูแว๊บๆ ก็พบว่าคนเขียนคนนี้เป็นเจ้าของผลงานหนังสือที่เราอ่านทีไรก็ต้องน้ำตาไหล น้ำตาซึมทุกที ซึ่งหนังสือเล่มที่ว่านั้นชื่อว่า Five people you met in heaven
เราตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มที่มีอยู่ในร้าน (Have a little faith) มาลองอ่านดู ในขณะเดียวกันก็ถามพนักงานว่าอีกเล่มที่เราอยากได้จะมาเมื่อไหร่ พนักงานบอกว่าถ้าจะซื้อเค้าสามารถสั่งให้ได้ เราเลยจัดการสั่ง Tuesdays with Morrie ไปอีกเล่มนึง หลังจากที่บอกข่าวกับเพื่อนสนิท เค้าบอกว่าให้เราอ่านก่อนแล้วค่อยส่งไปให้ หรือไม่ก็รอเรากลับไทยแล้วค่อยเอาให้เค้าก็ได้ ... วันนั้นเรารีบกลับบ้านจะไปอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่เสียเงินไปหมาดๆ
Have a little faith เป็นหนังสือที่จัดอยู่ในพวก Can't put it down สำหรับเรา อ่านแล้วต้องอ่านให้จบทีเดียว สรุปว่าตลอดบ่ายจนถึงเที่ยงคืนวันนั้น ข้าพเจ้าอ่านหนังสืออยู่อย่างเดียวเลย (-____-") เล่มนี้ไม่ได้เป็นหนังสือเกี่ยวกับศรัทธาหรือศาสนาจ๋าเว่อร์ สำหรับเรามันคือหนังสือที่พูดถึงแนวทางในการใช้ชีวิตนะ
โดยทั่วไปแล้วเรามักจะใช้ชีวิตตามอะไรซักอย่างที่เราเชื่อที่เราศรัทธา จะเป็นศาสนา บุคคล เงิน แนวคิดหรือหลักการอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะดำเนินชีวิตตามแนวทางนั้น ส่วนความมุ่งมั่นจะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเราศรัทธาหรือเชื่อตามสิ่งเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนนั่นแหล่ะ เราเชื่อว่าแต่ละคนก็มีสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ตัวเองศรัทธามากกว่า 1 สิ่ง นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้บนโลกนี้ไม่มีใครที่ดำเนินชีวิตในแบบอย่างเดียวกันร้อยเปอร์เซ็นต์สินะ และแน่นอนมันก็คงไม่ได้สุดขั้วถึงขั้นทุกคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยเหมือนกัน ในแง่มุมของศาสนาจะเห็นชัดเจนที่สุดว่าทุกๆ ศาสนามีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่คำสอนโดยส่วนใหญ่แล้วเราว่ามีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การเรียนรู้และทำความเข้าใจในตัวเอง และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างดีไม่เบียดเบียนใคร (ในรายละเอียดปลีกย่อยเราไม่สามารถบอกได้เพราะเราไม่ได้เชี่ยวชาญในทุกศาสนาซะขนาดนั้น) เราจึงเชื่ออีกว่าสังคมที่มีความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขหากคนในสังคมเข้าใจ ยอมรับ และเคารพในความแตกต่างนั้นๆ (ยกเว้นสังคมที่เชื่อในอำนาจของเงิน และวัตถุ ที่เรารู้สึกว่าการเชื่อแต่สองสิ่งนี้ไม่สามารถทำให้เกิดความสงบสุขได้แน่ๆ)
หนังสือเล่มนี้พูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับ ความสุข ความร่ำรวย ความรัก ครอบครัว การให้อภัย ความดี-ความเลว และความอื่นๆ อีกทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นสิ่งธรรมดารอบตัวเรา โดยที่ Mitch Albom ได้เรียนรู้มุมมองในสิ่งต่างๆ เหล่านี้จาก Albert Lewis และ Henry (ส่วนใครเป็นใคร อย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่ขอสปอยล์) เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตอย่างสบายใจ :] คือไม่ได้สอนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ เพราะเดี๋ยวต้องมานั่งนิยามกันอีกว่าความสุขคืออะไร อีกอย่าง เมื่อเราตั้งเป้าหมายว่าจะต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขเมื่อไหร่ ความทุกข์มันจะมาเยือนชีวิตเราแน่ๆ จากการใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตในชาตินี้โดยประมาณ ข้าพเจ้าค้นพบว่าการใช้ชีวิตให้มีความสุขตลอดไปนี่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าจะให้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์มาเยือน เออ ไอ้นี่ยังพอมีความเป็นไปได้หน่อย ...
เราควรหยุดสปอยล์หนังสือแต่เพียงเท่านี้ หากใครสนใจลองไปหาอ่านกันดูจ้ะ :)
หนึ่งใน Quote ที่เราชอบจากหนังสือเล่มนี้ :) |
ป.ล. เมื่อกี๊ค้นๆ ดูในเวป พบว่า Have a little faith ถูกแปลเป็นภาษาไทยด้วยเหมือนกัน ชื่อเรื่องว่า "มองสิ่งเล็ก เพื่อพบสิ่งใหญ่" ของสำนักพิมพ์อัมรินทร์ (หาดูหน้าตาได้จาก www.naiin.com นะจ๊ะ) อัญเชิญผู้สนใจไปลองหามาอ่านกันได้จ้ะ
ป.ล (อีกรอบ) หนังสืออีกเล่ม คือ Tuesdays with Morrie เราก็รอหนังสือที่สั่งจากร้านไม่ไหว สุดท้ายเราก็ฉลอง iPad ด้วยการซื้อเป็น e-book มาอ่านซะเลย (- - ") ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกที
Subscribe to:
Posts (Atom)