Saturday, August 17, 2013

เมื่อมาวินเป็นลมพิษ

ปิดเทอมนี่ดีจริงๆ ได้คุยกับหม่าม๊าบ๊อยบ่อย :)

หลังจากที่เจ้าหลานตัวแสบไปโรงเรียนได้ 1 วัน ก็เกิดอาการลมพิษขึ้น วันศุกร์แทนที่จะได้ไปโรงเรียนมาวินเลยต้องไปหาหมอแทน ถึงจะมีผื่นขึ้นตัวแต่มาวินก็ไม่งอแงเลย (คำชื่นชมจากปากคุณยายผู้รักหลานสุดชีวิต) คุณหมอบอกว่าให้สังเกตดูว่ามาวินมีโอกาสจะแพ้อะไรบ้าง จนถึงตอนที่คุยกับเราหม่าม๊าก็ยังคงนึกไม่ออกว่ามาวินแพ้อะไร เพราะไม่ว่าจะอาหารการกิน หรือเล่นที่บ้าน มาวินก็อยู่ในสิ่งแวดล้อมเดิมๆ ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ออกมา ช่วงนี้เลยต้องใส่ใจรายละเอียดการกิน เล่น ของมาวินมากหน่อยล่ะมั๊ง (คือคุณยายและอี๊เฟี๊ยตเป็นคนสังเกตสินะ ขออภัยที่ข้าพเจ้าไม่สามารถช่วยเหลือใด ๆ ได้)

จบเรื่องมาวินเป็นลมพิษ ก็ต้องเป็นเรื่องความน่ารักน่าชังของเจ้าหลานตัวแสบที่คุณยายเก็บมาเล่าให้ฟังเสมอ ๆ รอบนี้เล่าให้ฟังว่าวันก่อนตอนที่จะพามาวินออกบ้าน มาวินหันไปหาป้าอ้อม (คนที่จ้างมาช่วยดูแลป่ะป๊าเรา) แล้วพูดว่า "ป้าอ้อม take care big papa" ซึ่งหมายถึงให้ป้าอ้อมดูแลอากงด้วยนะ (มาวินเรียกอากงของเธอว่าบิ๊กป่ะป๊ะจ้ะ) เออ คิดได้ไงนะหลานเรา (-"-) พอพูดแบบนี้ปุ๊บคุณยายก็ชอบอกชอบใจว่าเจ้าตัวแสบนี่ช่างคิดช่างพูดจริง ๆ (ขวัญใจคุณยายล่ะเนอะ)

เราเพิ่งรู้เหมือนกันว่ามาวินหวงทั้งคุณยาย ทั้งบิ๊กป่ะป๊า ตอนที่คุณยายต้องไปเจาะเลือดเพื่อเตรียมตัวไปหาหมอ มาวินก็เข้าไปด้วย คุณยายบอกให้มาวินสวัสดีพี่ๆ เจ้าหน้าที่ มาวินก็ทำเฉย ทำหน้างง ๆ แต่พอเจ้าหน้าที่จับแขนคุณยายเตรียมจะเจาะเลือดเท่านั้นแหล่ะ เจ้าตัวแสบแหกปากดังลั่นพร้อมยกมือไหว้บอกสวัสดีครับ ๆ ๆ ไม่หยุดไม่หย่อน เอาซะจนเจ้าหน้าที่เจาะเลือดไม่ได้ ต้องให้อี๊เฟี๊ยตอุ้มออกไปนอกห้อง (มาถึงตรงนี้คุณยายก็ซาบซึ้งคิดว่าหลานคงไม่อยากให้ใครมาทำให้คุณยายเจ็บจ้ะ) และอีกครั้งตอนที่พยาบาลมาเปลี่ยนสาย feed อาหารให้ป่ะป๊า เจ้าตัวแสบเห็นเข้าก็แหกปากร้องไห้อีกเหมือนเดิม ถึงแม้คราวนี้ไม่ได้ยกมือไหว้ปลก ๆ แต่เสียงร้องไห้ของเจ้าตัวแสบก็ยังคงทำให้ผู้ใหญ่ต้องอุ้มออกไปนอกห้องอยู่ดี (-..-)v

นี่คือโทรไปคุยกับหม่าม๊าทีไร หนีไม่พ้นเรื่องหลานรักประจำบ้านทู้กที :)

Thursday, August 15, 2013

เมื่อมาวินคิดถึงโรงเรียน

วันนี้คุยกับหม่าม๊า ถามม๊าว่ามาวินไปโรงเรียนรึยังเพราะตอนป่วยหยุดโรงเรียนไปเป็นอาทิตย์เลย ม๊าบอกว่าไปมาแล้วและให้ทายว่ามาวินร้องไห้รึเปล่า เราบอกว่าชัวร์สิ ได้หยุดอยู่บ้านมาตั้งนานสงสัยวันนี้ร้องไห้โรงเรียนแตกแน่ๆ ม๊าบอกว่าผิดจ้า มาวินคิดถึงโรงเรียนมาหลายวันแล้ว บ่นว่า miss teacher Mickey, want to play with my friends เราแบบ เฮ้ย เกมพลิกจริงๆ ม๊าบอกว่าใคร ๆ ก็ทายว่ามาวินต้องร้องไห้หนัก แต่ผิดคาดกันทุกคนจ้า

นี่ถือเป็นหนึ่งในพัฒนาการในการไปโรงเรียนของมาวินเลยนะ สงสัยจะเริ่มชินแล้ว ม๊าบอกอีกว่าสงสัยอยู่บ้านนานเกินเลยเบื่อ ไม่มีอะไรทำ เห็นว่าคิดถึงโรงเรียน คิดถึงเพื่อนๆ และคิดถึงป้าหล้า (แม่ครัวของโรงเรียนที่พูดภาษาอังกฤษเป็นไฟ) วันนี้เธอเลยมีความสุขกับการไปโรงเรียนมากจ้ะ ถึงแม้ว่าตอนไปส่งที่โรงเรียนจะหน้าเสียนิดนึงแต่ก็ไม่ร้องไห้นะ :)

เจ๊เฟี๊ยตเล่าให้ฟังว่ามาวินได้ศัพท์ภาษาอังกฤษจากโรงเรียนเยอะอยู่เหมือนกัน ตอนที่โรงเรียนสอนศัพท์ด้านซ้าย ด้านขวา เธอก็มาพูดให้ฟัง left-right ซ้าย-ขวา งี้ เออ ให้เด็กๆ ไปเรียนโรงเรียนสองภาษานี่ก็ดีเนอะ ดูเด็กจะเรียนรู้ได้เร็วดี (ไม่เหมือนเราที่ไม่เอาไหนกับภาษาเอาซะเลย -*-")

นอกจากนี้วันนี้อี๊เฟี๊ยตเลยซื้อของเล่นให้มาวินเพิ่มมาอีก (บ้านนี้รักหลานจริงๆ แจ้) เป็นตัวหนังสือ ABC (ซึ่งข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นหน้าตา) และยังมีตัวเลขแถมเครื่องหมายบวก ลบ คูณ หาร ให้อีก (-...-)v สมกับที่รักของทุกคนในบ้านจริง ๆ :D

ตอนเราโทรไปนี่มาวินหลับปุ๋ยไปแล้ว วันนี้เลยได้คุยกับม๊ากับเจ๊เฟี๊ยตเท่านั้น แต่แค่นี้ก็ดีแล้วแหล่ะ ความจริงวันนี้ที่โทรไปเพราะอยากเห็นหน้าม๊าเท่านั้นแหล่ะ .. คิดถึง


Monday, August 12, 2013

เมื่อมาวินป่วย

ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา (5 - 10 ส.ค.) มาวินไม่สบาย เป็นไข้ ตัวร้อนจัดจนที่บ้านกลัวว่าจะเป็นไข้เลือดออก เลยพาเจ้าตัวแสบไปหาหมอ คุณหมอบอกว่าเบื้องต้นแล้วยังไม่น่าจะใช่ แต่ถามว่ามีโอกาสเป็นมั๊ยก็ยังมีโอกาสเป็นเหมือนกัน คุณหมอจึงจ่ายยาลดไข้มาให้ทานแล้วรอดูอาการต่อไป

ช่วงแรกๆ ก็ทานยาลดไข้ทุก 6 ชั่วโมง แต่บางวันที่ไข้ขึ้นสูงมากๆ ก็ให้ทานยาลดไข้ทุก 4 ชั่วโมง หม่าม๊าเล่าให้ฟังว่าตอนกลางคืนเวลาไข้ขึ้นสูงมาวินนอนไม่หลับแต่ก็ไม่งอแง นอนอยู่ข้างๆ ยายแล้วก็เรียกหายาย พอเบื่อๆ ก็นอนร้องเพลง ABC วนไปวนมาให้ยายฟัง (ยายบอกว่านี่ไม่รู้ว่าใครปลอบใครให้หลับกันแน่) พอเวลายาลดไข้เริ่มออกฤทธิ์ เจ้าตัวแสบรู้สึกสบายตัวขึ้น ก็หันไปบอกคุณยายว่า รักยาย ๆ เล่นอ้อนกันแบบนี้ทำเอาคุณยายน้ำตาร่วง :)

ผ่านไปไม่กี่วัน เจ้าตัวแสบก็มีผื่นขึ้นใต้ตา ตอนแรกผู้ใหญ่ก็สันนิษฐานว่าโดนมดกัด หรือว่าเอามือไปข่วนรึเปล่า พอพาไปหาคุณหมอ คุณหมอบอกว่านี่เป็นผื่นแพ้ สงสัยจะแพ้น้ำตาหรือแพ้เหงื่อ ช่วงไม่สบายเวลาร้องไห้แล้วเอามือป้ายบ่อยๆ เลยอาจทำให้เป็นผื่นได้ หมอก็ให้ยามาทา พอไข้เริ่มลด ผื่นก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับด้วยเหมือนกัน หม่าม๊าบอกว่ารอบนี้นี่มาวินป่วยหนักที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยนะ

แต่ถึงจะป่วย จะผื่นยังไง เวลาข้าพเจ้าโทรไปคุยด้วยก็ยังเห็นเจ้าหลานชายกระโดดโลดเต้น เริงร่าได้อยู่ดี แถมวันนี้เธอคุยกับตุ๊กตาหมีพูห์แล้วยกมือไหว้ซะงามงดเลย (ทีกับอาอี๊นี่บอกให้สวัสดีทีไรทำเป็นไม่ได้ยินทู้กที) ป่วยทีนึงคนก็เป็นห่วงกันทั้งบ้านเลยนะเจ้าตัวแสบ ;)





Thursday, May 23, 2013

เมื่อมาวินไปโรงเรียน

23 พ.ค. 2556 หลานชายข้าพเจ้าไปโรงเรียนวันแรก เจ๊เฟี๊ยตรายงานว่า ไปได้ครึ่งวันก็ร้องไห้หาคุณยาย ที่บ้านจึงไปรับกลับบ้าน -จบ-



เจ้าเด็กติดยาย (-*-") เจ้าเด็กขี้อ้อน (-...-)v


อัพเดตข้อมูลจากแม่โอ (23 พ.ค. 2556) ได้ความว่าวันจันทร์คุณยายจะตามไปให้กำลังใจถึงโรงเรียนเลยทีเดียว เพราะกลัวมาวินจะรู้สึกว่าตัวเองโดนทิ้ง นี่รักหลานมากถึงขนาดนี้เลยนะ :)

นอกจากนี้ยังมีการซื้อกระเป๋าเป้ใบใหม่ เพื่อจูงใจความรู้สึกในการอยากไปโรงเรียนอีกด้วย จ้ะ
วันนี้ (28 พ.ค. 2556) ข้าพเจ้าอยากรู้ว่ากระเป๋าใบใหม่จะช่วยให้หลานข้าพเจ้ามีความสุขกับการไปโรงเรียนบ้างมั๊ย .. ซึ่งพบว่า ...

กระเป๋าไม่ช่วยอะไร แถมโรงเรียนก็ห้ามคุณยายไปอยู่ด้วยแล้วจ้า / จบข่าว 



Monday, May 13, 2013

Somebody sweet to talk to


อัลบั้มใหม่ของวง She&Him : Volume3

ช่วงนี้ฟังอัลบั้มนี้วนไปวนมา  ชอบ Zooey มากฮ่ะ




Wednesday, May 1, 2013

What fuels your life?

ข้าพเจ้าเป็นแฟนคลับงานเขียนของคุณตุ๊ก วิไลรัตน์ เอมเอี่ยม (บ.ก. a day Bulletin, free copy ที่มีเรื่องเจ๋งๆ ให้อ่านบ่อยๆ) ถึงขั้นที่ต้องตามอ่าน Editor's note ทุกฉบับจาก app adb ใน iPad :]

ฉบับที่ 247 เป็นเรื่อง Wish You Live with Passion ซึ่งพูดถึงชีวิตที่ขาด passion (ในที่นี้เค้าหมายถึง ความรัก ความปราถนา ในการทำอะไรสักอย่าง) นี่จะทำให้การใช้ชีวิตเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย การตื่นนอนขึ้นมาในแต่ละวัน คงดูยากลำบาก และเหี่ยวเฉาเหลือเกิน ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจอารมณ์แบบนี้นะ จริงๆ แล้วเข้าใจมาหลายปีแล้วด้วย ตั้งแต่ช่วงที่ได้มาเป็นอาจารย์มาพักนึง เรารู้สึกว่าเรามาถึงจุดที่อยากเป็นแล้ว (ตอนนั้นเป้าหมายในชีวิต คือ ได้สอนหนังสือ) ชีวิตช่วงนั้นดูไม่ค่อยสดใส ต่างจากช่วงที่ยังไม่ได้เป็นแล้วเพียรพยายามจะไปถึงจุดนั้นให้ได้ พอไปถึงในสิ่งที่เราคิดว่าเป็นจุดหมายแล้ว มันก็เหมือนกับ โอเค จบ พร้อมตาย ไรงี้ ซึ่งตอนนี้ย้อนกลับไปคิดแล้วรู้สึกว่าบ้ามาก -..-  ที่คิดอะไรได้แค่นั้น 

ตอนนั้นจุดเปลี่ยนคือ มานั่งคิดว่าได้สอนหนังสือแล้วไงต่อฟระ นี่เราไม่คิดต่อเลยเหรอว่าจะทำให้มันดีได้ยังไง เลยตั้งเป้าหมายใหม่อีกว่า เออ คราวนี้เป็นอาจารย์ที่แบบไม่ให้ใครมาด่าได้ นี่ต้องเป็นยังไง (ซึ่งความจริงแล้ว อาจมี นศ. หลายคนแอบด่าอยู่ แต่เราไม่รู้ งี้) นั่นแหล่ะ หลังจากนั้นเลยมีชีวิตชีวาในการใช้ชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง ย้อนกลับไปคิดถึงตอนที่ชีวิตเหี่ยวเฉา แล้วก็ยังขำในความโง่และความบ้าของตัวเองอยู่ดีนะ 

ถามว่ายังมีอารมณ์ที่ขาด passion ในชีวิตอยู่มั๊ย ก็ตอบว่ามีอยู่เรื่อยๆ ยิ่งช่วงที่มาเรียน ป.เอก นี่เข้ามาบ่อยมาก (การเรียน ป.เอก เป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งในชีวิตของเราเหมือนกัน ซึ่งยังไม่อยากบ่น ณ ตอนนี้) เคล็ดลับก็คือ เมื่อไหร่ที่รู้สึกแย่ และเหี่ยวเฉา นี่ต้องรีบทบทวนว่า เฮ้ย ทำอะไรอยู่ ทำไปเพื่ออะไร ประมาณว่า cheer up ตัวเองขึ้นมานั่นแหล่ะ ไม่งั้นเดี๋ยวได้อยู่แบบแกนๆ แล้วจะยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ 

พอนึกถึงพลังในการใช้ชีวิต เราก็ไปนึกถึงรูปที่เคยโพสต์ใน FB รูปนึง เราใส่ caption ว่า "What fuels your life?" สนุกตรงที่มีคนมาตอบว่าพลังชีวิตของเค้าคืออะไร :]  บ้างก็ว่าความรัก บ้างก็ว่าครอบครัว และบ้างก็ว่าสปิริต ที่ว่ามาทั้งสามอย่างมันก็ช่วยเติมพลังชีวิตให้เรานะ และตอนนี้เราคิดว่าอีกหนึ่งขุมพลังในชีวิต ก็คือ ความปราถนาที่จะทำอะไรสักอย่างให้มันสำเร็จ หรือ passion นั่นแหล่ะ 


บางทีความยาก (และอาจมีความสนุกไปในตัว) คือ การตามหา passion ของตัวเองนะ ว่าเราคลั่งไคล้อยากจะทำอะไรในชีวิต ^^

What's your passion? What fules your life?

ป.ล. ถ้าใครอยากอ่าน Editor's note ของ  adb ฉบับ 247 เชิญตามนี้ ฮ่ะ



Thursday, August 23, 2012

Meaningful of Life Part I

ก่อนปิดวาก๊องซ์ไม่กี่อาทิตย์ เพื่อนสนิทคนนึงบ่นว่าหนังสือตัวเองหาย เป็นหนังสือที่เค้าชอบมากด้วย และด้วยความที่คิดเอาเองว่าอยู่ที่นี่อาจจะช่วยดูจากร้านหนังสือแถวนี้ให้ เลยรับปากว่าถ้าเจอจะส่งไปให้ละกัน หนังสือเล่มนั้นชื่อ Tuesday with Morrie เขียนโดย Mitch Albom

หลังจากตามหาหนังสือเล่มที่ว่าซะหลายรอบ ก็ยังไม่เจอซักที จนผลสุดท้ายเลยถามพนักงานที่ร้านหนังสือใกล้ๆ บ้านว่ามีเล่มนี้มั๊ย เค้าบอกว่าที่ร้านหมดมีเล่มอื่นที่เป็นของนักเขียนคนเดียวกันได้มั๊ย ว่าแล้วเค้าก็หยิบมาให้ดู หนังสือเล่มที่เค้าเอามาให้ดูนั้นชื่อว่า Have a little faith

เรารับหนังสือเล่มนั้นมาดู เปิดดูแว๊บๆ ก็พบว่าคนเขียนคนนี้เป็นเจ้าของผลงานหนังสือที่เราอ่านทีไรก็ต้องน้ำตาไหล น้ำตาซึมทุกที ซึ่งหนังสือเล่มที่ว่านั้นชื่อว่า Five people you met in heaven

เราตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มที่มีอยู่ในร้าน (Have a little faith) มาลองอ่านดู ในขณะเดียวกันก็ถามพนักงานว่าอีกเล่มที่เราอยากได้จะมาเมื่อไหร่ พนักงานบอกว่าถ้าจะซื้อเค้าสามารถสั่งให้ได้ เราเลยจัดการสั่ง Tuesdays with Morrie ไปอีกเล่มนึง หลังจากที่บอกข่าวกับเพื่อนสนิท เค้าบอกว่าให้เราอ่านก่อนแล้วค่อยส่งไปให้ หรือไม่ก็รอเรากลับไทยแล้วค่อยเอาให้เค้าก็ได้ ... วันนั้นเรารีบกลับบ้านจะไปอ่านหนังสือเล่มใหม่ที่เสียเงินไปหมาดๆ

Have a little faith เป็นหนังสือที่จัดอยู่ในพวก Can't put it down สำหรับเรา อ่านแล้วต้องอ่านให้จบทีเดียว สรุปว่าตลอดบ่ายจนถึงเที่ยงคืนวันนั้น ข้าพเจ้าอ่านหนังสืออยู่อย่างเดียวเลย (-____-") เล่มนี้ไม่ได้เป็นหนังสือเกี่ยวกับศรัทธาหรือศาสนาจ๋าเว่อร์ สำหรับเรามันคือหนังสือที่พูดถึงแนวทางในการใช้ชีวิตนะ 

โดยทั่วไปแล้วเรามักจะใช้ชีวิตตามอะไรซักอย่างที่เราเชื่อที่เราศรัทธา จะเป็นศาสนา บุคคล เงิน แนวคิดหรือหลักการอะไรก็แล้วแต่ เรามักจะดำเนินชีวิตตามแนวทางนั้น ส่วนความมุ่งมั่นจะมีมากมีน้อยก็ขึ้นอยู่กับว่าเราศรัทธาหรือเชื่อตามสิ่งเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนนั่นแหล่ะ เราเชื่อว่าแต่ละคนก็มีสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ตัวเองศรัทธามากกว่า 1 สิ่ง นี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้บนโลกนี้ไม่มีใครที่ดำเนินชีวิตในแบบอย่างเดียวกันร้อยเปอร์เซ็นต์สินะ และแน่นอนมันก็คงไม่ได้สุดขั้วถึงขั้นทุกคนแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงด้วยเหมือนกัน ในแง่มุมของศาสนาจะเห็นชัดเจนที่สุดว่าทุกๆ ศาสนามีความเชื่อที่แตกต่างกัน แต่คำสอนโดยส่วนใหญ่แล้วเราว่ามีวัตถุประสงค์เดียวกัน คือ การเรียนรู้และทำความเข้าใจในตัวเอง และดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างดีไม่เบียดเบียนใคร (ในรายละเอียดปลีกย่อยเราไม่สามารถบอกได้เพราะเราไม่ได้เชี่ยวชาญในทุกศาสนาซะขนาดนั้น) เราจึงเชื่ออีกว่าสังคมที่มีความแตกต่างสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขหากคนในสังคมเข้าใจ ยอมรับ และเคารพในความแตกต่างนั้นๆ (ยกเว้นสังคมที่เชื่อในอำนาจของเงิน และวัตถุ ที่เรารู้สึกว่าการเชื่อแต่สองสิ่งนี้ไม่สามารถทำให้เกิดความสงบสุขได้แน่ๆ)

หนังสือเล่มนี้พูดถึงความเชื่อเกี่ยวกับ ความสุข ความร่ำรวย ความรัก ครอบครัว การให้อภัย ความดี-ความเลว และความอื่นๆ อีกทั้งหลายทั้งปวงที่เป็นสิ่งธรรมดารอบตัวเรา โดยที่ Mitch Albom  ได้เรียนรู้มุมมองในสิ่งต่างๆ เหล่านี้จาก Albert Lewis และ Henry (ส่วนใครเป็นใคร อย่างไรนั้น ข้าพเจ้าไม่ขอสปอยล์) เราคิดว่าหนังสือเล่มนี้สอนให้รู้จักการใช้ชีวิตอย่างสบายใจ :]  คือไม่ได้สอนให้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขนะ เพราะเดี๋ยวต้องมานั่งนิยามกันอีกว่าความสุขคืออะไร อีกอย่าง เมื่อเราตั้งเป้าหมายว่าจะต้องใช้ชีวิตให้มีความสุขเมื่อไหร่ ความทุกข์มันจะมาเยือนชีวิตเราแน่ๆ จากการใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตในชาตินี้โดยประมาณ ข้าพเจ้าค้นพบว่าการใช้ชีวิตให้มีความสุขตลอดไปนี่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ถ้าจะให้ใช้ชีวิตอย่างสบายใจไม่ว่าจะสุขหรือจะทุกข์มาเยือน เออ ไอ้นี่ยังพอมีความเป็นไปได้หน่อย ...

เราควรหยุดสปอยล์หนังสือแต่เพียงเท่านี้ หากใครสนใจลองไปหาอ่านกันดูจ้ะ :)

หนึ่งใน Quote ที่เราชอบจากหนังสือเล่มนี้ :)
ป.ล. เมื่อกี๊ค้นๆ ดูในเวป พบว่า Have a little faith ถูกแปลเป็นภาษาไทยด้วยเหมือนกัน ชื่อเรื่องว่า "มองสิ่งเล็ก เพื่อพบสิ่งใหญ่" ของสำนักพิมพ์อัมรินทร์ (หาดูหน้าตาได้จาก www.naiin.com นะจ๊ะ) อัญเชิญผู้สนใจไปลองหามาอ่านกันได้จ้ะ

ป.ล (อีกรอบ) หนังสืออีกเล่ม คือ Tuesdays with Morrie เราก็รอหนังสือที่สั่งจากร้านไม่ไหว สุดท้ายเราก็ฉลอง iPad ด้วยการซื้อเป็น e-book มาอ่านซะเลย (- - ") ไว้จะมาเล่าให้ฟังอีกที