Wednesday, March 24, 2010

My Big Brother

อยากมีพี่ชายค่ะ ในครอบครัว "สันติธีรากุล" ของสาลินี ไม่รู้จักคำว่าพี่ชายเลย คิดดูอีกที ถ้ามีพี่ชาย ป่านนี้คงไม่มีเราแน่ๆ ถ้างั้นเราอาจโชคดีที่ไม่มีพี่ชาย :) ได้มามีพี่ชายก็ตอนทำงานนี่ล่ะค่ะ

พี่ชายที่จะพูดถึงในวันนี้ อดีตเคยเป็นอาจารย์ของฟางค่ะ สมัยที่เป็นอาจารย์เราก็ปลาบปลื้มมาในระดับนึงแล้วว่าอาจารย์คนนี้ช่างมีจิตวิญญาณในความเป็นอาจารย์มากๆ ตอนนั้นประทับใจ และปลื้มแบบออกหน้าออกตาพอสมควร ... อาจารย์คนนี้ ชื่อ อภิชาต ค่ะ :)

ที่อยู่ดีๆ ก็เขียน Blog เรื่องนี้ก็เพราะว่า อ.อภิชาต หรือที่ตอนนี้เราเปลี่ยนมาเรียกว่า พี่แน็ช แทน ก็เพราะในวันเสาร์ที่ผ่านมา พวกเราบรรดาอาจารย์ในกลุ่มวิจัย SCEM (Supply Chain and Engineering Management) มานั่งคุยกันถึงโครงการนึง ที่หน่วยวิจัยเราเขียน Proposal ไปเนิ่นนานอักโข ถูกเอามาปรับเพื่อลดงบประมาณโครงการลงไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ด้วยเหตุผลประการทั้งปวงว่าโครงการโดยรวมก็ถูกปรับงบไปกันหมด และเหตุผลอันสมเหตุสมผลจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง (ไม่อยากเขียนถึงเรื่องนี้ยาว เดี๋ยวจะกลายเป็นการกล่าวสรรเสริญและอวยพร โชคชะตาประเทศชาติกันมากเกินไป) เอาเป็นว่าสั้นๆ ง่ายๆ ว่าโครงการที่ปั้นกันไว้อาจมีแนวโน้มว่าจะไม่ได้ทำ ซึ่งมันทำให้เกิดอาการเสียความรู้สึกกันไป ไม่มากก็น้อย เราไม่โทษโชคชะตา เพราะเราเองก็รู้ว่าโครงการของพวกเรานั้นไม่ได้หรูเลิศอลังการ ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่ดีเท่าเมื่อเปรียบเทียบกับโครงการอื่นๆ อาจารย์ในทีมวิจัยถ้าพูดกันง่ายๆ ส่วนใหญ่เป็นอาจารย์ที่ตำแหน่งวิชาการไม่ได้อยู่ในระดับที่ใครๆ ต้องมาตระหนักถึงเรา (ก็สาลินี ยังเป็น ออจุด อยู่เลย) พวกเรารู้ว่างบประมาณโครงการแบบนี้ ส่วนใหญ่แล้วเค้าก็ต้องมอบหมายให้นักวิชาการที่มีผลงานวิชาการในระดับยอดเยี่ยม เป็นผู้ได้ Priority เป็นอันดับแรกๆ พวกเราเข้าใจจริงๆ ค่ะ

ประเด็นของพี่แน็ช มีเพียงว่า ในเมื่อเราเป็นนักวิชาการแต่ดูเหมือนกับว่าพวกเราทำงานด้านวิชาการ เช่น การทำวิจัย เขียนบทความเพื่อตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติกันน้อยเหลือเกิน (สำหรับสาลินี ต้องใช้คำว่า ไม่มีค่ะ ฮะๆๆ ยังไม่ได้เขียน Paper เพื่อตีพิมพ์ journal ใดๆ ) พวกเราอาจจะใช้เวลาในการทำงานอย่างอื่น ซึ่งในมุมมองนึงมันก็เป็นงานที่ทำเพื่ออะไรก็แล้วแต่ ส่วนรวม เพื่อนักศึกษา เพื่อคณะ จนเราหลงลืมการฝึกปรือฝีมือในด้านวิชาการ ซึ่งควรเป็นหนึ่งในงานหลักของเราไป

พี่แน็ชเป็นห่วงน้องๆ พี่แน็ชมักจะมอง Career Path เผื่อน้องๆ เสมอ พี่แน็ชมักพูดว่าตอนนี้พี่แน็ชมีหน้าที่ในการหางาน หาโครงการ มาให้น้องๆ ได้มีอะไรทำ ได้ฝึกประสบการณ์ ได้ทำงานวิจัย แล้ววันนึงน้องๆ ก็ต้องมีอนาคตเป็นของตัวเอง วันนึงพี่แน็ชอาจจะเพียงมีหน้าที่ให้คำปรึกษาน้องๆ เท่านั้น วันที่น้องๆ สามารถหาโครงการฯ มีงานวิจัยเป็นของตัวเองได้ วันนั้นพวกเราคุยกันนานพอสมควร เพื่อจะได้แสดงความคิดเห็น ได้แลกเปลี่ยนความคิดกัน ว่าหน่วยวิจัยของเราควรจะเป็นยังไงต่อไป ข้อสรุปที่ได้ มันก็ไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก เรารู้ก็เพียงแต่ว่า พวกเราคงต้องลงมือ ลงแรง กับงานวิจัย เขียนบทความวิชาการกันมากขึ้น อีกหน่อยเราต้องขอตำแหน่งทางวิชาการ เราต้องโน่นนี่ กันอีกมากมาย เราต้องมานั่งคุยกันมั๊ํย ว่างานอื่นๆ พวกเรามีแรงมีกำลังทำกันมากน้อยแค่ไหน เราต้องแบ่งเวลาให้กับงานที่จะพัฒนาตัวเองให้มากขึ้นรึเปล่า สรุปว่า จงเขียน Paper กันให้มากขึ้น เพื่ออนาคตอันสดใสของพวกเราเอง

พี่แน็ชเรียกมานั่งคุยกัน จะด้วยเพราะอารมณ์อะไรก็ไม่รู้ เรารู้แต่ว่าวันนั้นทำให้เราซึ้งใจกับพี่ชายคนนี้มากขึ้นไปอีก พี่แน็ชมักคิดถึงน้องๆ เสมอ พี่แน็ชเคยบอกว่า จะอะไรก็แล้วแต่ ตอนทำงานจะเป็นยังไงก็แล้วแต่ แต่พี่น้อง ก็คือ พี่น้องอยู่วันยังค่ำ ฟางทำงานกับพี่แน็ชมาเกือบสี่ปีค่ะ รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีอาจารย์คนนี้เป็นพี่ชายค่ะ :)

ป.ล. เป็นอาจารย์ เป็นนักวิชาการ เป็นนักวิจัย มีอะไรมากกว่าที่เราคิด ^______________^

1 comment:

  1. เชื่อว่าน้องฟางก็จะเป็นพี่สาวที่ดีของใครหลายๆคนแน่ๆ สู้ สู้

    ReplyDelete